วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลงทุนอีสานยอดฮิตเม็ดเงินโตกว่า 160%


           ปี 55 บีโอไอไฟเขียวลงทุนอีสาน 66 โครงการยอดรวม 2.3 หมื่นล้านบาท โตกว่า 160% เกิดการจ้างงานกว่า 4 พันคน ชี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเอสเอ็มอี คาดปีหน้าทรงตัว
          น.ส.รัตนวิมล นารี ศุกรีเขตร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 จังหวัด
ขอนแก่น (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในรอบปี 2555 บีโอไอได้ให้การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน รวม 66 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนรวม 22,256 ล้านบาท มีการจ้างงาน 4,178 คน เมื่อเทียบกับปี 2554 มีปริมาณเพิ่มขึ้น 65% ส่วนในแง่เงินลงทุนเพิ่มสูงถึง 163.4%
          กิจการที่ได้รับความสนใจลงทุนมาก คือ กิจการด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับการอนุมัติส่งเสริม 39 โครงการ เงินลงทุน 12,865.6 ล้านบาท กิจการกลุ่มเกษตรกรรมและผลิตผลทางการเกษตร เช่น กิจการข้าวสารพัดคุณภาพ แปรรูปผลิตยางแท่งยางผสม กิจการผลิตแป้งมันสำปะหลัง กิจการอบพืชและโซโล รวม 14 โครงการ เงินลงทุน 2,121.6 ล้านบาท และกิจการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ได้รับการส่งเสริม 6 โครงการ เงินลงทุน 7,297.7 ล้านบาท
          ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดกลางและขนาดย่อใ ที่มีเม็ดเงินลงทุนระหว่าง 1.4-630 ล้านบาท ขณะที่กิจการขนาดใหญ่มีเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 750 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติ 3 โครงการ
          "ปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวทางการลงทุน คือการย้ายฐานการผลิตจากภาคกลางมาสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากเกิดอุทกภัยกับพื้นที่ภาคกลางในปลายปี 2554 โดยจ.ขอนแก่นนักลงทุนจากต่างพื้นที่และต่างชาติให้ความสำคัญมากสุด มีโครงการลงทุนขอรับการส่งเสริม 28 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 15,569 ล้านบาท รองมาคืออุดรธานี และหนองคาย" ผอ.ศูนย์เศรษฐกิจกิจการลงทุนภาคที่ 3 กล่าว
          สำหรับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจปรับเพิ่มขึ้น ทั้งปัจจัยการผลิต วัตถุดิบ โดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี ที่เป็นการผลิตแบบพึ่งแรงงานมากกว่าการพึ่งพาเครื่องจักร
ที่มา : คม ชัด ลึก 

เตรียมพยาบาลรับเมดิคัลฮับเน้นทักษะวิชาชีพ


            ดร.กฤษฎา แสวงดี อุปนายกสภาพการพยาบาล กล่าวถึงการส่งเสริมเรื่องเมดิคับฮับ ว่า สภาการพยาบาลมีการเตรียมความพร้อมที่จะรองรับเมดิคัลฮับ เน้นการเพิ่มทักษะในวิชาชีพ มีการอบรมเฉพาะทางให้แก่พยาบาล อาทิ เรื่องของหัวใจ และไอซียู ทั้ง 2 สาขาเป็นที่ต้องการของระบบสาธารณสุขทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน สนับสนุนเรื่องภาษาที่จะใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย เตรียมความพร้อมพยาบาลที่อยู่ในต่างจังหวัดและที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านเรียนภาษาเฉพาะของแต่ละท้องถิ่นเพื่อรองรับผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะเข้ามารับบริการในประเทศไทย เช่น จ.ขอนแก่น จ.อุบลราชธานีเป็นต้น
          นอกจากนี้ส่งพยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อไปเรียนรู้เพิ่มเติมในด้านทักษะของวิชาชีพ เรียนภาษาเพื่อที่จะได้นำทั้งภาษาและความรู้ที่ได้จากการไปศึกษาต่อต่างประเทศกลับมาสอนพยาบาลที่ไม่ได้ทุนไปศึกษาต่อในต่างประเทศ  เนื่องจากอนาคตประเทศไทยจะเป็นสังคมของผู้สูงอายุที่ต้องการพยาบาลในการดูแลและรองรับอาเซียน จึงมีแนวคิดที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพยาบาล แต่ในการเพิ่มพยาบาลต้องดูตามอัตราของอาจารย์แพทย์ด้วยเนื่องจากอาจารย์ 1 ท่านจะไม่สามารถสอนพยาบาลได้เกิน 8 คน เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพ และได้พยาบาลที่มีคุณภาพ หากพยาบาลจากกลุ่มอาเซียนจะเข้ามาทำงานจะต้องมีใบอนุญาตการทำงานมีความเชี่ยวชาญในด้านที่จะทำงานอย่างแท้จริง หากพยาบาลจากกลุ่มอาเซียนคนใดเข้ามาแล้วขาดคุณสมบัติด้านใดด้านหนึ่งก็จะไม่รับเข้ามาทำงานในประเทศไทย
ที่มา : คม ชัด ลึก 

มข.เดินหน้ายุทธศาสตร์พลังงานทางเลือก โชว์ศักยภาพการพัฒนาลดค่าใช้จ่ายพลังงาน


 ผศ.ดร.ชำนาญ บุญญาพุทธิพงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นเดินหน้าในการพัฒนาระบบพลังงานทางเลือก เพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ ระบบบริหารจัดการที่ดี โดยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมีระบบ ประหยัดพลังงานที่ดี ทั้งนี้ การพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของผู้บริหาร โดยมีเป้าหมายที่จะให้ลดค่าใช้จ่ายของการใช้พลังงาน บุคลากรได้ตระหนักและรับรู้ในเรื่องการใช้พลังงานอย่างประหยัด และเกิดการพัฒนาเทคนิควิธี นวัตกรรมที่มาจากการค้นคว้าวิจัย และความรู้ความสามารถของบุคลากร สำหรับโครงการติดตั้งระบบแสงสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นการออกแบบติดตั้งโดยหน่วยงานของมหาวิทยาลัย ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลงานที่มีความเหมาะสม ตรงตามความต้องการในการใช้งาน มีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดซื้อจากบริษัทจะไม่สามารถกำหนดรูปแบบที่ต้องการได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงถึงศักยภาพในเชิงพัฒนาของหน่วยงานในมหาวิทยาลัย
          ผศ.ดร.ชำนาญ กล่าวต่อว่า ระบบแสงสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีการติดตั้งดำเนินการไปแล้วที่ริมบึงสีฐาน จำนวน 10 ชุด ขณะนี้สามารถใช้งานได้แล้ว เป็นระบบแสงสว่างที่สะดวกในการติดตั้งและเคลื่อนย้าย ซึ่งโครงการนี้จะเป็นเพียงการเริ่มต้นในการพัฒนาพลังงานทดแทน โดยจะมีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบเพิ่มเติมและนำไปติดตั้งในบริเวณอื่นๆ ต่อไป อีกทั้งจะเพิ่มพูนความรู้ให้กับบุคลากรผู้พัฒนาโครงการ ด้วยการไปอบรมในเรื่องโซล่าเซลล์ และเรื่องอื่นๆ ต่อไป ส่วนนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าจะพัฒนาเองได้อีกส่วนหนึ่ง คือกังหันลมที่กำลังทำการศึกษาอยู่
          นายชัยนิยม สินทร หัวหน้าชุดพัฒนาโครงการ กล่าวว่า ตามที่ฝ่ายพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานได้มอบหมายให้ งานจัดการพลังงานและนวัตกรรม กองอาคารและสถานที่ ได้มีผู้รับผิดชอบดำเนินการ โดยนายชัยนิยม สินทร หัวหน้าชุดพัฒนาโครงการ พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.มงคล ผุยน้อย และ นายมณฑล สังทะสิทธิ์ ศึกษาและออกแบบสร้างเสาไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 10 ชุด ติดตั้ง ณ ถนนลานลอยกระทงบึงสีฐาน เพื่อเป็นการทดแทนพลังงานหลัก การพัฒนาระบบ คณะทำงานได้ออกแบบและสร้างในลักษณะเป็นนวัตกรรมและความคงทนต่อสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด เมื่อเทียบกับเหล็กชนิดเดียวกัน
          นอกจากนี้ ยังสามารถปรับมุมได้ตามสภาวะของมุมดวงอาทิตย์ ในการดำเนินการนี้ ทางหน่วยงานได้ออกแบบเสาให้มีความแข็งแรงด้วยเหล็กเสาเคลือบสังกะสีเพื่อกันสนิม ขนาด 4 นิ้ว และมีความสูงของเสา 5 เมตร และชุดโครงสร้างรับแผงสามารถปรับมุมได้ไม่น้อยกว่า 35 องศา ด้วยสกรู และโครงแผงนี้สามารถปรับหมุนปรับทิศทางการรับแสง ได้ 360 องศา ส่วนกิ่งโคมได้ออกแบบใช้เหล็กเหลี่ยมทำมุม 35 องศา และสามารถหมุนรอบตัวเองได้ไม่น้อยกว่า 200 องศา เพื่อปรับทิศทางของแสงสว่างได้ ในการติดตั้งนี้ ใช้แผงขนาด 100 วัตต์ และใช้หลอดให้แสงสว่างด้วยหลอดแบบ LED ขนาด 24 วัตต์ (Lighting LED 24W) ใช้แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์ เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้า และการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์นี้ ได้คัดเลือกวัสดุที่มีระบบควบคุมการชาร์จและการเปิด-ปิด ไฟฟ้าด้วยระบบ Automatic สำหรับการใช้งานของเสาแต่ละต้น
ที่มา : บ้านเมือง 


เดอะเบรนทุ่มทุนปรับโฉม เติมเสน่ห์โรงเรียนกวดวิชา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่น


           สำหรับคนที่ผ่านช่วงวัยเรียนมากับการกวดวิชา อาจเคยได้ยินกันมาบ้าง กับสถาบันกวดวิชาอย่าง "เดอะเบรน (The Brain)" สถาบันกวดวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่เปิดมานานกว่า 25 ปี และช่วงระยะเวลาดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเป็นแบรนด์หนึ่งที่ค่อนข้างนิ่ง นอกเหนือจากการเพิ่มวิชาเรียน หรือการเพิ่มจำนวนติวเตอร์
          จนมาถึงปีนี้ เดอะเบรนตัดสินใจ รีแบรนดิ้ง เปลี่ยนจากชื่อ "เดอะเบรน" ที่ใช้มากว่า 25 ปี เป็น "วี บาย เดอะเบรน" (WE By The Brain) ปรับโฉมใหม่ ทั้งโลโก้ รูปแบบการเรียน ตลอดจนอาคารสถานที่
          "มนตรี นิรมิตศิริพงศ์" ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชา วี บาย เดอะเบรน บอกว่า การรีแบรนดิ้งครั้งนี้ เพื่อสร้าง ตัวตนใหม่ให้มีความชัดเจน จึงเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ และนำมาใช้กับชื่อวิชาที่สอน เช่น WE Math, WE Physics โดยการ เปลี่ยนชื่อเป็น WE นำมาจากการรวม ตัวกันเป็นกลุ่มบุคคล คือทีมติวเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งทางวิชาการบวกกับเด็กและผู้ปกครอง
          "เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์เดิม ยังคงเก็บความเป็นเหตุเป็นผล (logic) ไว้ และเสริมเสน่ห์ (magic) เข้าไป ทำให้เกิดการรวมตัวที่สมบูรณ์ ตอบสนอง ความต้องการที่แท้จริงให้กับนักเรียน เพราะก่อนหน้านี้เราได้สอบถามไปยังเด็กว่าต้องการให้เราทำอะไรบ้าง ก็พบว่าเด็กบางส่วนอยากให้เราเสริมบางอย่างให้มากกว่าเดิม"
          การปรับโฉมครั้งนี้เริ่มตั้งแต่อาคาร สถานที่ในส่วนของล็อบบี้ มีโต๊ะติวหนังสือ หรือทำการบ้านให้กับนักเรียน ขณะเดียวกัน ยังมีโซฟาพักผ่อน และมุมหนังสือให้ ผู้ปกครองพักผ่อนระหว่างรอเด็กเลิกเรียน
          สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการปรับรูปแบบการเรียน จากเดิมที่มีการเรียน 3 แบบ คือสอนสด เรียนผ่านดีวีดี และการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ หรือบีสมาร์ท (Be Smart) ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าการเรียนแบบบีสมาร์ทนั้นได้รับการตอบรับอย่างมาก โดยในช่วง 2 ปีมานี้มีนักเรียนเลือกเรียนในระบบ ดังกล่าวประมาณ 2 แสนคน จนกระทั่ง เดอะเบรนมีการเพิ่มจำนวนของคอมพิวเตอร์รวมในทุกสาขาถึง 5 พันเครื่อง
          "ส่วนหนึ่งของการปรับโฉมหรือ รีแบรนดิ้งครั้งนี้ เราปรับเพิ่มในส่วนของการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแบ่ง รูปแบบการเรียนออกเป็น 3 แบบ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเด็กตามความต้องการ"
          แบบแรกคือ WE CAN 1 เป็นการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด นักเรียน 1 คน ต่อ 1 ห้องเรียน ทำให้มีสมาธิเรียนมากขึ้น เพราะปราศจากเสียงรบกวนจากภายนอก
          หรือหากต้องการเรียนร่วมกับเพื่อน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่ WE CAN 2 จะตอบโจทย์นี้  โดยรองรับลักษณะการเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย
          ซึ่งการเรียน 2 รูปแบบนี้ สถาบันจะมีอาหารว่างและขนมเตรียมไว้คอยบริการ นักเรียนสามารถทานได้ฟรี ตามความต้องการ
          ขณะที่ WE CAN 3 แม้จะเป็นการเรียนพร้อมกันกับคนหมู่มาก แต่ก็ยังมีฉากกั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย แม้จะเป็นการเรียนพร้อมกันจำนวนมาก แต่นักเรียนจะสามารถเรียนพร้อมกันได้โดยไม่ติดขัด เนื่องจากมีการพัฒนาระบบ C loud ที่มีความเสถียรเข้ามาใช้
          "เราเห็นปัญหาว่าแต่ละโรงเรียนมีเวลาเรียนในหัวข้อที่ไม่ตรงกัน ซึ่งการเรียนลักษณะนี้จะทำให้เด็กสามารถเลือกบทเรียนตามความต้องการได้ ทั้งยังสามารถหยุดจดเพื่อทบทวน ย้อนกลับไปดูใหม่อีกครั้งเมื่อไม่เข้าใจ หรือหากต้องการหยุดเพื่อพักผ่อนระหว่างเรียน ก็สามารถทำได้"
          ทั้งนี้การปรับโฉมจะเป็นการทยอยปรับไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มต้นที่สาขาพญาไท งามวงศ์วาน และบางกะปิ จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงมีแผนขยายไปยังจังหวัดหัวเมือง เช่น เชียงใหม่ 
ขอนแก่น พิษณุโลก หาดใหญ่ โดยจะไม่ขึ้นค่าเรียนของ WE CAN 3 ซึ่งอยู่ที่ชั่วโมงละ 80 บาท
          ส่วนค่าเรียนของการเรียนรูปแบบอื่น จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนจริง อย่าง WE CAN 2 จะเพิ่มค่าเรียนเป็นชั่วโมงละ 200 บาท
          "ขณะนี้ WE CAN 1 มี 11 ที่นั่ง WE CAN 2 มี 48 ที่นั่ง และกว่า 90% เป็น WE CAN 3 แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ต้องการกำไรจากตรงนี้ แต่เราทำเพราะเด็กมีความต้องการที่ต่างกัน และถึงแม้ความสบายในการเรียนจะไม่เหมือนกัน แต่ทุกรูปแบบจะมีเนื้อหาในบทเรียนแบบเดียวกันทั้งหมด เรียกได้ว่าประสิทธิภาพในการเรียนและประสิทธิผลที่ได้รับเท่ากัน แต่แตกต่างในบางองค์ประกอบเท่านั้น"
          นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด หรือยกเลิกเวลาเรียน ตลอดจนเช็กปฏิทินการเรียนผ่านทางเฟซบุ๊ก หรือ แอปพลิเคชั่น WE App ผ่านทางสมาร์ทโฟน ทั้งไอโฟน ไอแพด แอนดรอยด์ และวินโดวส์โฟน ทำให้เกิดความยืดหยุ่น เลือกวันและเวลาเรียนได้ตามไลฟ์สไตล์ รวมถึงนักเรียนจะได้รับ WE Card เป็นเหมือนบัตรประจำตัว ผู้เรียน สามารถใช้บัตรนี้แสดงตนในการเรียนได้ทุกสาขาทั่วประเทศ
          สำหรับงบประมาณการปรับโฉมให้เป็น วี บาย เดอะเบรน จะแตกต่างกันตามขนาดของสาขา โดยสาขาพญาไท ลงทุนไปประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนสาขา อื่น งบฯลงทุนจะลดหลั่นลงไป อย่างสาขางามวงศ์วานและบางกะปิ จะอยู่ที่สาขาละ 7-8 ล้านบาท
          นอกจากนี้ในปีหน้ามีแผนขยายสาขาเพิ่ม 3 แห่ง และปีต่อ ๆ ไปจะขยายเพิ่มปีละ 3-4 สาขา คาดว่าภายในปี 2558 จะมีทั้งหมด 40 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 29 สาขา โดยแต่ละปีมีเด็กสมัครเรียนกับเราประมาณ 1.5 แสนคน และ ตั้งแต่เรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ก็พบว่า สถาบันเติบโตขึ้นมาก
          จึงน่าจับตาต่อว่า  ทิศทางของเดอะ เบรนที่เลือกปรับโฉมตัวเองครั้งนี้ จะเดินมาถูกทางและตอบโจทย์ความต้องการและความคุ้มค่าของผู้เรียนผู้ปกครองได้หรือไม่
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลังงานทดแทน'แชมป์ลงทุนอีสานตอนบน


  ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่ นักลงทุนต่างพื้นที่และ ต่างชาติให้ความสาคัญมากสุด
          ลงทุนอีสานตอนบนโต บีโอไอเผยปีนี้อนุมัติโครงการเพิ่ม 65% เม็ดเงินลงทุนพุ่ง 160% กว่า 2.3 หมื่นล้าน พลังงานทดแทนยังแรง อนุมัติมากสุด 39 โครงการ ขณะขอนแก่นหอมนักลงทุนแห่ลงทุนกว่า 28 โครงการ เม็ดเงินสูงกว่า 1.55 หมื่นล้าน
          น.ส.รัตนวิมล นารี ศุกรีเขตร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 จังหวัดขอนแก่น(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในรอบปี 2555 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-14 ธ.ค. มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างเกินความคาดหมาย มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน 58 โครงการ เงินลงทุนรวม 15,500 ล้านบาท การจ้างงาน 2,644 คน เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปี 2554 ทำให้ผู้ประกอบการต้องย้ายฐานการผลิต ย้ายสถานประกอบการ การปรับตัวของภาคการผลิตที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต โดยพิจารณาถึงกิจการที่ใช้แรงงานน้อยลง แต่ได้ผลตอบแทนที่ดี
          ส่วนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมในรอบปีมีจำนวน 66 โครงการ เงินลงทุน 23,256 ล้านบาท มีการจ้างงานคน 4,178 คน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 ถือว่าเพิ่มขึ้น 65% เงินลงทุนเพิ่มสูงถึง 163.4% กิจการที่ได้รับความสนใจลงทุนมากเป็นพิเศษ เป็นด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ที่ได้รับการอนุมัติสูงสุด 39 โครงการ เงินลงทุน 12,865.6 ล้านบาท กิจการกลุ่มเกษตรกรรมและผลิตผลทางการเกษตร เช่น กิจการข้าวสารคัดคุณภาพ แปรรูปผลิตยางแท่งยางผสม กิจการผลิตแป้งมันสำปะหลัง กิจการอบพืชและโซโล รวม 14 โครงการ เงินลงทุน 2,121.6ล้านบาท ส่วนกิจการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับการอนุมัติส่งเสริม 6 โครงการ แต่เงินลงทุนสูงถึง 7,297.7 ล้านบาท
          โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอส เอ็มอี ที่เงินลงทุนระหว่าง 1.4-630 ล้านบาท ขณะที่กิจการขนาดใหญ่เงินลงทุนมากกว่า 750 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติส่งเสริม 3 โครงการ เป็นโครงการกิจการผลิตคอนเนคเตอร์ ของบริษัทพานาโซนิค แมนูแฟคเจอริ่ง(ประเทศไทย)จำกัด ที่จ.ขอนแก่น เงินลงทุน 5,973.9 ล้านบาท มีการจ้างงาน 1,680 คน โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ของบริษัท ทีเอสเอ็มเพาเวอร์ ไฟฟ้า จำกัด ที่จ.อุดรธานี มูลค่าเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท มีการจ้างงาน 50 คน และโครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ของบริษัท ไดซิน จำกัด ที่จ.ขอนแก่น  เงินลงทุน 828.2 ล้านบาท มีการจ้างงาน 385 คน
          น.ส.รัตนวิมล กล่าวว่า ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่นักลงทุนจากต่างพื้นที่และนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญมากที่สุดของอีสานตอนบน มีการลงทุน 28 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 15,569 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 39.29% เงินลงทุนปรับเพิ่ม 514.89% รองลงมาเป็นอุดรธานี 14 โครงการ เงินลงทุน 2,756 ล้านบาท หนองคาย 8 โครงการ เงินลงทุน 729 ล้านบาท
          ส่วนแนวโน้มการลงทุนปี 2556 คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งปัจจัยการผลิต วัตถุดิบ โดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่เป็น เอสเอ็มอี ที่เป็นการผลิตแบบพึ่งแรงงานมากกว่าการพึ่งพาเครื่องจักร รวมทั้งราคาพลังงาน ราคาอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตการเกษตรที่ผันผวนเนื่องจากภาวะ โลกร้อน แต่ยังมีสัญญาณที่ดีจากการส่งออกและเศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

10 บิ๊กอสังหาฯทุม 2.6 แสนล้านบุก 2555 คอนโดฯ


          เปิดแผนลงทุนอสังหาฯปี'56 บิ๊ก ดีเวลอปเปอร์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 10 ราย  จ่อคิวเปิดโครงการใหม่รวมกันกว่า 255 โครงการ มูลค่าโครงการกระฉูดกว่า 2.68 แสนล้านบาท ไม่หวั่นแบงก์ชาติเตือนฟองสบู่ แห่ผุดคอนโดฯ ควบขยายตลาด หัวเมืองท่องเที่ยว "เชียงใหม่พัทยา-หัวหิน-ชะอำ-เขาใหญ่-ภูเก็ต" ปีหน้าแตกทำเลรุกจังหวัดเศรษฐกิจบูม "อุดรธานี-ขอนแก่-ระยอง-เชียงราย"
          ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความเคลื่อนไหวแผนลงทุนพัฒนาโครงการในปี 2556 ของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ 10 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.แสนสิริ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ควอลิตี้เฮาส์และบริษัทในเครือ บมจ.ศุภาลัยและบริษัทในเครือ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ พบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจว่า ผู้ประกอบการยังคงโหมลงทุนโครงการ "คอนโดมิเนียม" แม้ว่าก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาส่งสัญญาณเตือนปัญหาฟองสบู่ในตลาดคอนโดฯ
          ขณะเดียวกันเป็นที่สังเกตว่า ผู้ประกอบการยังคงมุ่งแตกทำเลในตลาด "ต่างจังหวัด" อย่างต่อเนื่อง จากปีนี้ที่เห็นการเปิดตัวโครงการในเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน-ชะอำ เขาใหญ่ และภูเก็ต ปีหน้าจะเห็นการขยายออกสู่จังหวัดเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต อาทิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ระยอง ชลบุรี ฯลฯ
          ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความเคลื่อนไหวแผนลงทุนพัฒนาโครงการในปี 2556 ของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ 10 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.แสนสิริ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ควอลิตี้เฮาส์และบริษัทในเครือ บมจ.ศุภาลัยและบริษัทในเครือ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ พบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจว่า ผู้ประกอบการยังคงโหมลงทุนโครงการ "คอนโดมิเนียม" แม้ว่าก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาส่งสัญญาณเตือนปัญหาฟองสบู่ในตลาดคอนโดฯ
          ขณะเดียวกันเป็นที่สังเกตว่า ผู้ประกอบการยังคงมุ่งแตกทำเลในตลาด "ต่างจังหวัด" อย่างต่อเนื่อง จากปีนี้ที่เห็นการเปิดตัวโครงการในเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน-ชะอำ เขาใหญ่ และภูเก็ต ปีหน้าจะเห็นการขยายออกสู่จังหวัดเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต อาทิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ระยอง ชลบุรี ฯลฯ
          ปี'55 แสนสิริบุก ตจว. 2 หมื่น ล.
          ทั้งนี้จากความเคลื่อนในรอบปีนี้ บมจ.แสนสิริกลายเป็นบริษัทที่สร้างความฮือฮา เพราะในจำนวน 50 โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ ได้สร้างสถิติเปิดตัวในต่างจังหวัดมากที่สุดถึง 23 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 20,600 ล้านบาท ได้แก่ หัวหิน-ชะอำ 10 โครงการ ภูเก็ต 7 โครงการ เขาใหญ่ 2 โครงการ เชียงใหม่ 2 โครงการ พัทยา 1 โครงการ และขอนแก่น 1 โครงการ ในจำนวนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% หรือ 15,400 ล้านบาท
          ส่วนปี 2556 แสนสิริจะขยายการลงทุนในต่างจังหวัดต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มจะเปิดตัวโครงการในจังหวัดใหม่คือ อุดรธานี เพิ่มขึ้น
          ขณะที่ บมจ.ศุภาลัย เป็นบริษัทที่พัฒนาคอนโดฯ และขยายการลงทุนในต่างจังหวัดมาโดยตลอด โดยเริ่มพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดตั้งแต่ปี 2529 ที่จังหวัดสงขลา แต่ที่ลงทุนต่อเนื่องจริง ๆ คือนับตั้งแต่ ปี 2549 ปัจจุบันมีโครงการสะสมที่เปิดตัวในต่างจังหวัดไปแล้วประมาณ 34 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 22,000 ล้านบาท
          ในจำนวนนี้ที่เปิดตัวปี 2555 จำนวน 7 โครงการ รวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5 โครงการ และ คอนโดฯ 2 โครงการ ใน 6 จังหวัดคือ สงขลา (หาดใหญ่) ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และชลบุรี ส่วนปีหน้ามีจังหวัดใหม่ที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นคือ จังหวัดอุดรธานี ส่วนอีกจังหวัดคาดว่าจะเป็นระยอง
          บิ๊กแบรนด์ลุย 2.68 แสน ล.
          สำหรับปี 2556 เบื้องต้นบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 10 บริษัท มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวมกันไม่ต่ำกว่า 255 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 268,200 ล้านบาท
          โดย บมจ.พฤกษาฯที่ชะลอการลงทุนในปีนี้ จะกลับมาโหมลงทุนอีกครั้งเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจ จะเปิดตัวมากถึง 78 โครงการ และน่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 54,600 ล้านบาท เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจ จากปีนี้ที่เปิดตัวใหม่ 34 โครงการ เนื่องจากชะลอลงทุนน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554
          แหล่งข่าวจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จะกลับมาบุกหนักอีกครั้งในปีหน้า จาก 78 โครงการใหม่ที่เปิดตัว เป็นบ้านจัดสรร 80% และคอนโดฯ 20% รวมทั้งจะกลับมาเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดอีกครั้ง เน้นกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในจังหวัดและซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เบื้องต้นจะเปิดตัวอย่างน้อย 6 โครงการ ได้แก่ พัทยาเป็นบ้านจัดสรร 2 โครงการ ภูเก็ต 4 โครงการ เป็นบ้านจัดสรร 3 โครงการ และคอนโดฯ 1 โครงการ
          "ตลาดที่น่าสนใจคือภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่น่าสนใจ เช่น ระยอง ฯลฯ ที่มีนิคมอุตสาหกรรมและมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก"
          แห่ปักธง "อีสาน-ตะวันออก-ใต้"
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่บริษัทอื่น ๆ ได้แก่ บมจ.แสนสิริ คาดว่าจะเปิดตัวใกล้เคียงกับปีนี้คือ 50 โครงการ โดยก่อนหน้านี้ นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริระบุว่า ปี 2556 น่าจะเปิดตัวคอนโดฯไม่น้อยไปกว่าปีนี้คือ 29 โครงการ และจะพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดต่อเนื่อง
          บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาดว่าจะเปิดตัวใหม่ไม่น้อยกว่าปีนี้คือไม่ต่ำกว่า 15 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 25,680 ล้านบาท โดยคาดว่าจะบุกตลาดต่างจังหวัดใหม่ ๆ คือ อุดรธานี และเชียงราย รวมถึงพัฒนาโครงการในนครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ และภูเก็ต
          บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ เตรียมเปิดตัวใหม่ประมาณ 17 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท บมจ.ศุภาลัยและบริษัทในเครือ เปิดตัว 24-25 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯเปิดตัว 13 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยได้ซื้อที่ดินในชะอำ เนื้อที่ราว 4 ไร่ พัฒนาคอนโดฯตากอากาศ จากปีนี้ที่เปิดตัว คอนโดฯที่พัทยาและตัวเมืองชลบุรี
          บมจ.เอสซี แอสเสทฯ จะเปิดตัวไม่น้อยกว่า 14 โครงการ รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัวไม่ต่ำกว่า 20 โครงการ รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท นำร่องเปิดตัวคอนโดฯในหัวหิน (เขาเต่า) เป็นครั้งแรก และเปิดตัวบ้านจัดสรรที่เชียงใหม่ จากปีนี้ที่พัฒนาโครงการหอพักนักศึกษายูนิลอฟท์ที่เชียงใหม่
          และ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศแผนครึ่งปีแรกจะเปิดตัวคอนโดฯใหม่อย่างน้อย 3 โครงการ รวมมูลค่า 7,000 ล้านบาท และให้ความสนใจพัฒนาโครงการที่หัวหินและเขาใหญ่
          ตลาด ตจว.ส่อแววแข่งดุ
          นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมอสังหาฯ ต่างจังหวัดในปีหน้า จะเห็นการเปิดตัวโครงการทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดฯคึกคักไม่แพ้ปีนี้ เพราะเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ เช่น พัทยา-ชลบุรี หัวหิน-ชะอำ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ฯลฯ เติบโตดีทุกแห่ง บางจังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุดรธานี ภูเก็ต เริ่มเกิดเทรนด์ความต้องการซิตี้คอนโดฯ หรือคอนโดฯในเมือง ราคายูนิตละ 1-2 ล้านบาท เหมือนกรุงเทพฯ เมื่อ 6-7 ปีก่อนที่ตลาดนี้บูมมาก
          ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดฯ "ศุภาลัย มอนเต้ @ เวียงเชียงใหม่" ริมถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่และเซ็นทรัลเฟสติวัล 734 ยูนิต สามารถปิดการขายในวันแรกของการรับจอง และสามารถทำยอดขายจากโครงการในต่างจังหวัดคิดเป็นสัดส่วน 25% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จากประมาณการยอดขายรวมทั้งปี 21,000 ล้านบาท
          ก่อนหน้านี้ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่างจังหวัดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยจังหวัดชลบุรี (รวมพัทยา) มีซัพพลายบ้าน- คอนโดฯสะสม ทั้งที่รอขาย ขายแล้ว และรอโอนกรรมสิทธิ์สูงที่สุด คือประมาณ 87,500 ยูนิต (อยู่ในพัทยา 49,000 ยูนิต) มูลค่ารวม 240,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ขายแล้วประมาณ 60%
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ


ปีใหม่หนาว-คนแห่เที่ยว คึกสุดรอบ 5 ปี เงินสะพัดแสนล.เย็นลงอีก 7 องศา


เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นายศิษฎิวัชรชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2555-15 มกราคม2556 อยู่ที่ 1.2 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ คาดว่าภาพรวมการท่องเที่ยวปีใหม่นี้น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบจากปีก่อนซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามามากที่สุดยังคงเป็นตลาดจีน ส่วนหนึ่งมาจากการทำตลาดเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟลต์) ที่เข้มข้นต่อเนื่อง
          นายศิษฎิวัชรกล่าวว่า ส่วนแนวโน้มสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในปี 2556 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยกว่า 23 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ 21 ล้านคนอย่างไรก็ตาม มองว่าปัญหาความไม่ปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว หากสถานการณ์รุนแรงยังปรากฏเรื่อยๆ จะเป็นปัจจัยกระทบต่อการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวได้
          ไทยเที่ยวไทยพุ่ง5แสนคน
          นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่าบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2555 -2 มกราคม2556 นี้ คาดว่าจะมีคนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศประมาณ 5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวของปีก่อน 7% เนื่องจากไม่มีปัญหาความวุ่นวายที่ต้องกังวล ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจยังขยายตัวดี โดยแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมยังเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น หาดใหญ่ จังหวัดสงขลาพัทยา จังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ 
ขอนแก่น และอุบลราชธานี ส่วนแหล่งท่องเที่ยวรองลงมา หรือการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น จังหวัดน่าน จะเป็นการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มมากกว่า เพราะเมืองดังกล่าวไม่สามารถจัดงานคึกคักได้มากนัก เพราะต้องรักษาประเพณีแบบดั้งเดิมเอาไว้
          "จังหวัดอุบลราชธานีที่เป็นจังหวัดแรกที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น จะคึกคักเป็นพิเศษ นอกจากคนไทยไปเที่ยวแล้ว จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคนร่วมเทศกาลเคานต์ดาวน์ที่นั่นด้วยซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะวางแผนล่วงหน้าที่จะเดินทางข้ามไปฝั่งลาวต่อไปด้วย" นายยุทธชัยกล่าว
          ปีนี้ทัวร์ต่างชาติทะลุเป้า
          นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ค่อนข้างสดใส จากภาพรวมทั้งปีที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายนอยู่ที่ 19.76 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.57% ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวเอเชียกว่า 11.16 ล้านคน โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีกว่า 2.5 ล้านคนเพิ่มขึ้น 50%และจากเดือนธันวาคมนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม2556 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน ทำให้ทั้งปี 2555 คาดว่านักท่องเที่ยวอาจถึง 21 ล้านคน เกินเป้าที่ตั้งไว้ที่20.5 ล้านคน
          "กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น คาดว่าช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องจนถึงเทศกาลตรุษจีนจะมีคนจีนมาเที่ยวไทยโดยเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำไม่ต่ำกว่า 180 เที่ยวบิน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 1.9 แสนคน" นายสรรเสริญกล่าว
          สหรัฐ-ยุโรปหนีหนาวเข้าไทย
          นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินแอร์เอเชีย กล่าวว่า จำนวนผู้โดยสารที่บินกับแอร์เอเชีย ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2555-3 มกราคม 2556 มีอัตราบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย (โหลดแฟกเตอร์) เต็ม 100%ทุกเส้นทางในประเทศหรือมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 1.95 แสนคน ขณะที่ยอดการจองที่นั่งล่วงหน้าของคนไทยเพื่อท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงเดียวกันอยู่ในอัตราเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80-90%เป็นตัวเลขที่น่าพอใจสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นคนไทยกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
          แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจท่องเที่ยว ประเมินว่า การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2556 จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ในรอบ 5 ปีและมีเงินสะพัดจากการใช้จ่ายท่องเที่ยวและเดินทางมากกว่า 1 แสนล้านบาท โดยปัจจัยที่มีผลต่อการท่องเที่ยวไทยปีนี้เพิ่มมากขึ้น คือนักท่องเที่ยวจากสหรัฐ ยุโรป หันมาเที่ยวเอเชีย อาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น เนื่องจากประสบกับภัยหนาวรุนแรง ขณะที่คนไทยก็เพิ่มการท่องเที่ยวทั้งในไทยและออกนอกประเทศเพิ่มขึ้น เพราะมั่นใจต่อรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2556 และบริษัทส่วนใหญ่ยังจ่ายโบนัสอย่างต่ำ 1 เดือน แต่อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวยังกังวลในเรื่องการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งทำให้มูลค่าการใช้จ่ายในปีใหม่นี้สูงขึ้น"
          สคบ.ปรามพวกฉวยโอกาส
          นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่าสคบ.ได้ร่วมกับ ททท. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(ปคบ.) และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบการให้บริการของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว พบว่าผู้ให้บริการรถตู้ และรถโดยสารนำเที่ยว รวมทั้งบริษัททัวร์ไม่ได้แสดงราคาค่าบริการให้ผู้บริโภคได้รับทราบบางรายคิดราคาค่าบริการสูงเกินความจริงสคบ.จึงแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้รับทราบรวมทั้งได้ประสานกับจังหวัดเชียงรายให้เข้ามาดูแล เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวถูกเอาเปรียบในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้
          "คาดว่าช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายเป็นจำนวนมาก จึงต้องมาตรวจสอบ ป้องปรามไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจถูกเอาเปรียบมากที่สุด" นายจิรชัยกล่าว
          แห่เที่ยวดอกไม้อาเซียน2012
          สำหรับบรรยากาศท่องเที่ยว จ.เชียงรายจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็น ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือน จ.เชียงราย เป็นจำนวนมากในช่วงหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยเฉพาะที่บริเวณถนนธนาลัย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งทุกวันเสาร์มีการปิดถนนยาวกว่า 1 กิโลเมตร เปิดเป็นถนนคนเดิน ขณะที่บริเวณงานมหกรรมดอกไม้อาเซียนเชียงราย 2012 ซึ่งจัดขึ้นบริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย ตลอดทั้งวันเป็นไปด้วยความคึกคัก มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศพากันเยี่ยมชมไม่ขาดสาย
          อุตุฯคาดเหนือลดอีก7องศา
          นายสมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่าสภาพอากาศประเทศไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม2555 จนถึงช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม2556 จะเริ่มเข้าสู่ช่วงอากาศหนาวเย็น ประเทศไทยจะรับอิทธิพลความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมในประเทศไทยตอนบน ประกอบกับคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนมาปกคลุมภาคเหนือ ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนในภาคเหนือ และภาคอีสาน มีอากาศหนาวจัดและอาจมีอุณภูมิลดลงต่ำสุดถึงราว 4-7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง จะได้รับผลกระทบจากความกดอากาศสูงเช่นกัน ส่งผลให้ในภาคกลางโดยทั่วไป และกรุงเทพฯ มีอุณภูมิลดลงสูงสุดอยู่ที่22 องศาเซลเซียส
          "ขอให้มั่นใจได้ว่าปีนี้คนไทยจะได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นแน่นอน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังยอดภู ยอดดอยทางภาคเหนือ จะได้พบกับปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือแม่คะนิ้งอย่างแน่นอน ส่วนอากาศจะหนาวยาวนานขึ้นหรือไม่ กรมอุตุฯ จะทำการประเมินอีกครั้งหนึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 ของเดือนมกราคม" นายสมชายกล่าว
          เชียงใหม่ประกวดขาอ่อนท้าหนาว
          ที่ จ.เชียงใหม่ นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า อบจ.ร่วมกับจังหวัดจัดงานประกวดนางสาวเชียงใหม่ปี 2556 ภายใต้คำขวัญ "เวทีแห่งเกียรติยศ ความงามทรงคุณค่า และศักดิ์ศรีสตรีล้านนา ในงานฤดูหนาว" และงานโอท็อปของดีเมืองเชียงใหม่ วันที่ 5-8 มกราคมนี้ ในโอกาสครบรอบการจัดงานฤดูหนาวมา 80 ปี และเวทีประกวด น.ส.เชียงใหม่ ถือเป็นเวทีเก่าแก่ที่สุดในประเทศ เช่นเดียวกับประกวดนางสาวไทย มีผู้เข้าประกวดจาก 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนรวม50 คน เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่ากว่า 300,000 บาทพร้อมมงกุฎเพชรและสายสะพาย คาดว่าอุณหภูมิในช่วงที่มีการประกวดจะอยู่ประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส การประกวดนางสาวเชียงใหม่ซึ่งเป็นกิจกรรมส่งเสริมท่องเที่ยวจังหวัด ระหว่างที่กำลังมีการจัดงานฤดูหนาวที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม ถึง 12 มกราคม คาดมีผู้ชมงานวันละ30,000 คนรวม 420,000 คน ทำรายได้กว่า 500 ล้านบาท
          ทยอยกางเต็นท์เขื่อนป่าสักฯ
          ผู้สื่อข่าว จ.ลพบุรี รายงานว่านักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ พากันเดินทางด้วยรถยนต์พร้อมกับนำเต็นท์ไปกางบริเวณริมสันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พร้อมกับนำเครื่องทำอาหารปิกนิกไปทำอาหารรับประทานกัน เพื่อเตรียมพักผ่อนกินบรรยากาศริมสันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมทั้งรอรับวันเคานต์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความผิดหวัง เพราะทุกปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวแห่มาเที่ยวกันจนแน่นขนัดล่าสุดเจ้าหน้าที่ประจำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ แจ้งว่าขณะนี้มีคนโทรศัพท์มาจองเต็นท์ขนาดเล็ก ที่ทางเขื่อนเตรียมไว้บริการนักท่องเที่ยวกันบ้างแล้วคาดปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการสถานที่กันเป็นจำนวนมาก
          โคราชรับคริสต์มาสคึกคัก
          ส่วนที่ จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาวในพื้นที่จ.นครราชสีมา เป็นไปด้วยความคึกคัก ไม่เฉพาะแต่ อ.ปากช่อง และ อ.วังน้ำเขียว ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมเท่านั้น แต่ในพื้นที่อื่นก็คึกคักเช่นกัน เช่น ที่ไร่จิมทอมป์สันฟาร์มอ.ปักธงชัย นอกจากนั้นองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) นครราชสีมา กำลังเร่งปรับพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณที่ดินสาธารณประโยชน์ จำนวน 25 ไร่ช่วงหลัก กม.ที่ 60-61 ต.ศาลเจ้าพ่อ อ.วังน้ำเขียวเนรมิตให้เป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสันเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ และเป็นสถานที่จัดงานดอกไม้บานในสายหมอก ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2555 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวของอ.วังน้ำเขียว
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสปีนี้ ตามร้านจำหน่ายเสื้อผ้าต่างๆ ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา เป็นไปด้วยความคึกคัก เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาเลือกซื้อชุดแฟนตาซีที่จะใช้แต่งในงานฉลองวันคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ โดยเฉพาะร้านเสื้อผ้าในซอยตรอกจันทร์ มีการนำเสื้อผ้าชุดซานตาคลอสและชุดนางฟ้า มาแขวนเรียงรายเป็นจำนวนมาก
          นางสุภัค สวัสดี แม่ค้าร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในซอยตรอกจันทร์ กล่าวว่า เสื้อผ้าชุดเทศกาลวันคริสต์มาสปีนี้ ขายดีกว่าปีที่ผ่านมาถึง 20%เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียน และหน่วยงานต่างๆ ที่จะมาสั่งซื้อครั้งละเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีอาจารย์ชาวต่างชาติมาสอนจำนวนมาก จึงมีการจัดฉลองเทศกาลวันคริสต์มาสขึ้นในช่วงนี้ โดยชุดที่ขายดีจะเป็นชุดซานตาคลอส และชุดนางฟ้าของเด็กๆ ราคาชุดละ 199-299 บาท ทำให้ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ร้านค้าต่างๆ สามารถขายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 50 ชุด มีรายได้เฉลี่ยวันละกว่า 10,000 บาท
          อุบลฯรับแสงตะวันแรกแห่งปี
          นายวิชุกร กุหลาบศรี ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานอุบลราชธานี กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ททท.สำนักงานอุบลราชธานีได้ร่วมกับจังหวัดและอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จัดกิจกรรม "ท่องเที่ยวรับแสงตะวันใหม่ ก่อนใครในสยาม" ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เข้าร่วมกิจกรรมตีกลองส่งตะวันปีเก่า รับตะวันปีใหม่รวมทั้งการผูกข้อมือส่งท้ายปีเก้าต้อนรับปีใหม่ และการสวดมนต์ข้ามปี การแสดงศิลปวัฒนธรรมและร่วมตักบาตรต้อนรับปีใหม่บนอุทยานแห่งชาติผาแต้มอ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
          นายนิมิตร สิทธิไตรย์ ประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาใน จ.อุบลราชธานี และจะส่งผลให้เม็ดเงินในช่วงเทศกาลปีใหม่ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท โดยเฉพาะในงานเทศกาลรับตะวันใหม่ก่อนใครในสยาม โดยเฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มจะมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า10,000 คน
          จัด'ผานางเมิน'รับเคานต์ดาวน์
          นายวิมล อึ้งพรหมบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูพาน อ.ภูพาน จ.สกลนคร กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลเที่ยวหน้าหนาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อุทยานแห่งชาติภูพานถือเป็นอีกจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมธรรมชาติสัมผัสอากาศหนาว และกางเต็นท์นอนนับถอยหลังคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยปีนี้ทางอุทยานแห่งชาติภูพานได้เตรียมพร้อมจัดผานางเมินไว้เป็นที่รองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินลับขอบฟ้าและพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม
ที่มา : มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลังงานบริสุทธิ์ปลื้มปิดโรดโชว์11จังหวัด นักลงทุนแห่ฟังทะลัก


 นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด มหาชนEA เปิดเผยว่า จากการเดินทางเพื่อนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน Road Show) ทั้ง 11 จังหวัด ปรากฎว่านักลงทุนทั่วประเทศให้การตอบรับและเข้ารับฟังการนำเสนอข้อมูลของบริษัทเป็นจำนวนมากกว่าที่คาดไว้ แสดงให้เห็นถึงความสนใจในธุรกิจของ EA ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน ทั้งในส่วนของไบโอดีเซล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ล้วนแต่เป็นธุรกิจที่มีอนาคตการเติบโตที่ต่อเนื่องและมั่นคง เพราะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
          โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โครงการแรกของบริษัทมีกำลังการผลิตขนาด เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี สามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ COD) ด้วยการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กฟภได้แล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้ EA จะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่ไตรมาสที่ ของปีนี้เป็นต้นไป
          นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิต เมกะวัตต์ ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการ โดยเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ mai) และในอนาคตยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดลำปาง และจังหวัดพิษณุโลก อีกโครงการละ เมกะวัตต์ ตามลำดับ ซึ่งได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กฟผเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
          การโรดโชว์ทั้ง 11 จังหวัดในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีนักลงทุนให้ความสนใจหุ้นของเราเป็นจำนวนมาก ซึ่งการเดินทางไปให้ข้อมูลต่อนักลงทุนในต่างจังหวัด จะทำให้นักลงทุนมีความเข้าใจธุรกิจของ บมจพลังงานบริสุทธิ์ และมีความเชื่อมั่นต่ออนาคตของบริษัท นายสมโภชน์ กล่าว
          ทั้งนี้ บมจพลังงานบริสุทธิ์ EA) ทำการโรดโชว์ทั้งสิ้น จังหวัด โดยได้เริ่มเดินทางโรดโชว์ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่จังหวัดชลบุรี ต่อที่จังหวัดสมุทรสาคร, นครราชสีมา, ราชบุรี, เชียงใหม่, สงขลา, อุบลราชธานี, ภูเก็ต, พิษณุโลก, ขอนแก่น และปิดท้ายที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555
          นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ EA เปิดเผยว่า การเดินทางโรดโชว์ทั้ง 11 จังหวัดของ EA ที่ว่าประสบความสำเร็จ เพราะมีนักลงทุนสนใจเข้ารับฟังข้อมูลเป็นจำนวนมากในทุกๆ จังหวัดที่เดินทางไป ซึ่ง EA ถือเป็นบริษัทมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแนวโน้มการเติบโตในอนาคต หลังจากที่บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป
          ทั้งนี้ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน มีความเห็นว่าบริษัทมีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอพิจารณาแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นให้กับประชาชน IPO) และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ Filing) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลตก่อนเตรียมขายหุ้นไอพีโอ 560 ล้านหุ้น เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ mai) ต่อไป โดยปัจจุบัน EA มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ล้านบาท และจะมีทุนชำระแล้วหลังการเพิ่มทุน IPO เป็น ล้านบาท โดยเตรียมขายหุ้นไอพีโอ 560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ พาร์หุ้นละ 0.10 บาท
          สำหรับผลการดำเนินงานของ EA ในส่วนของรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง ปีที่ผ่านมา และงวด เดือนแรกของปี บริษัทมีรายได้จากการขายรวม ,647.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2554 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่มา : ข่าวหุ้น

โอเชี่ยนฯลุยอสังหาฯขอนแก่นขุดที่ดินเก่า39ไร่ผุดโครงการเพิ่มอสังหาฯเพื่อขายลดเสี่ยง


โอเชี่ยนฯ ปัดฝุ่นที่ดินเก่า 39 ไร่ จ.ขอนแก่น ผุดบิ๊กโปรเจกต์มูลค่า 5,000 ล้านบาทเจาะกลุ่มนักศึกษา นายธีรวัฒน์ พิพัฒน์ดิฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทเตรียมนำที่ดินเก่าที่มีอยู่ในพอร์ตย่านใจกลางเมือง จ.ขอนแก่นจำนวน 39 ไร่ มาพัฒนาเป็นโครงการใหญ่มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท
          ทั้งนี้ เบื้องต้นจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกจะใช้พื้นที่ 30 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ ความสูง8 ชั้น แบ่งออกเป็น 4-5 คลัสเตอร์มูลค่าคลัสเตอร์ละ 1,000 ล้านบาทราคายูนิตละ 9 แสนบาท-2.5 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบแนวคิดของโครงการว่าจะมีคลัสเตอร์ละกี่ยูนิต
          สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 9 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาว่าจะเป็นคอมมูนิตีมอลล์ หรือโรงแรม โดยภาพรวมของโครงการดังกล่าว ตั้งเป้าจับกลุ่มนักศึกษา และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เนื่องจากทำเลใกล้เคียงและเป็นกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อ
          นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังถือเป็นการกลับมาพัฒนาโครงการใหญ่อีกครั้งของบริษัทในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มไทยสมุทรประกันชีวิต ผู้ถือหุ้นใหญ่ในโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ต้องการให้นำที่ดินในพอร์ตมาพัฒนา เน้นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมากขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจและลดความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจในเครือ
          นายธีรวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจาก30%ในปัจจุบันเป็น 40% ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 50% ในปี 2557 จากปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าเช่น อาคารสำนักงาน และโรงแรม
          ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน จ.ขอนแก่น ถือว่าเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจหอพักโดยข้อมูลจากชมรมผู้ประกอบกิจการหอพัก อพาร์ตเมนต์จ.ขอนแก่น พบว่า มีหอพักเกิดใหม่มากถึง 2 หมื่นห้องในเวลาเพียง 3 ปี ยังไม่นับรวมคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
          "ด้านการลงทุนอื่นๆบริษัทยังมีแผนปรับปรุง 'โอเชี่ยน มารีน่ายอชต์ คลับ' ด้วยการนำพื้นที่บริเวณWave Breaker ส่วนที่จอดเรือยอชต์ประมาณ 4,000 ตารางเมตรพัฒนาเป็นเมืองค้าขายริมทะเลประมาณ 20 ร้านค้า คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 40 ล้านบาท รวมถึงปรับปรุงโรงแรมอัสสรา วิลล่าแอนด์ สวีท ด้วย" นายธีรวัฒน์กล่าว
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'พาณิชย์'ผลิตภาพยนตร์สั้น เตรียมพร้อมก่อนเปิดเออีซี


  นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ รองอธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวง พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีบวงสรวงภาพยนตร์สั้นเรื่อง "2015 อุบัติรัก ลิขิตชีวิต" ว่า ที่ผ่านมากรมได้เดินหน้าจัดสัมมนาความรู้แก่ทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ไปมากแล้ว เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่มีการรับรู้กันอย่างกว้างขวาง แต่ต้องยอมรับว่าข้อมูลในเชิงลึกที่จะมีผลกระทบโดยตรงกับตนเองยังรับรู้ไม่มากนัก เพราะการให้ข้อมูลจากหน่วยงานราชการต่างๆ ยังเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐาน ผ่านตัวหนังสือ ซึ่งอาจจะเข้าใจยาก
          ดังนั้นกรมจึงจัดทำภาพยนตร์ขึ้น เนื่องจากต้องการสื่อให้เห็นถึงการเตรียม ความพร้อมก่อนเปิดเออีซีให้แก่ธุรกิจเอกชน อุตสาหกรรม ภาครัฐ การศึกษา และประชาชน ซึ่งจะมีเนื้อหาสื่อให้เห็นถึงความพร้อมในปัจจัยพื้นฐานของไทยที่เหมาะจะเป็นตลาดและฐานการผลิต ทั้งการขนส่ง การบริการ การลงทุน และแรงงานฝีมือ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการในสาขาต่างๆ ที่ต้องร่วมกันสร้างโอกาส และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้พร้อมใช้ประโยชน์จากการเป็นเออีซี
          ทั้งนี้ภาพยนตร์แบ่งเป็น 3 ตอน ความยาวรวม 18 นาที ใช้งบประมาณในการผลิตกว่า 2 ล้านบาท ใช้เผยแพร่เวลาไปจัดงานสัมมนาตามที่ต่างๆทั่วประเทศ และฉายในหน่วยงานภาครัฐ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และสถาบันการศึกษา คาดว่าจะผลิตและเผยแพร่ได้ต้นปี 2556 นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมเทศกาลปีใหม่ หรือในระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2555-2 มกราคม 2556 ททท.คาดว่านักท่องเที่ยวจะมีการเดินทางอย่างคึกคักในทุกภูมิภาค และคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 2,364,552 คน มีอัตราการเข้าพักถึง 70% และมีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 13,100 ล้านบาท โดยภาคเหนือจะได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากอากาศหนาวเย็น และมีการจัดกิจกรรมต่างๆที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยว สำหรับในกรุงเทพฯคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาถึง 256,000 คน สร้างรายได้ 3,200 ล้านบาท
          "หากจะดูตามภาคต่างๆ เชื่อว่าภาคกลางจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 366,000 คน สร้างรายได้ 1,600 ล้านบาท, ภาคเหนือ 480,000 คน สร้างรายได้ 3,500 ล้านบาท, ภาคใต้ 352,552 คน สร้างรายได้ 3,200 ล้านบาท, ภาคตะวันออก 700,000 คน สร้างรายได้ 1,000 ล้านบาท, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 210,000 คน สร้างรายได้ 600 ล้านบาท"นายสุรพล กล่าว
          อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการสนับสนุนภาคเอกชน ททท.ได้ร่วมสนับสนุนการจัด 8 กิจกรรมทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา ขอนแก่น หาดใหญ่ และภูเก็ต ซึ่งจะผลักดันให้เป็นเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ระดับนานาชาติ และร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่พร้อมกันทั่วโลก โดยใช้งบประมาณในการจัดงานปีใหม่ครั้งนี้ 5 ล้านบาท มากกว่าปี 2554 ที่ใช้งบประมาณเพียง 5 แสนบาท
          นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ นายกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า จากการคาดการณ์ในไตรมาส 4 ปี 2555 จะมี นักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 31% จาก ชาติเดียวกันของปี 2554 ทำให้ยอดรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2555 เท่ากับ 21.7 ล้านคนและสำหรับในไตรมาสแรกปี 2556 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 และเมื่อถึงสิ้นปี 2556 คาดว่าจะมี นักท่องเที่ยวต่างชาติมาท่องเที่ยวในไทย 23.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.5% จากปี 2555
          "ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มั่นใจมากขึ้น จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นตลอดปี 2555 โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) และไทยค่อนข้างผ่อนคลายจากปัญหาการเมืองและภัยธรรมชาติ"นางปิยะมานกล่าว
          ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวในปี 2555 ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวหลักคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียเพิ่มขึ้นในทุกตลาด ซึ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ นักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากมีกำลังซื้อมากขึ้น อย่างไรก็ตามขณะนี้รถทัวร์ที่จะใช้รองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเริ่มมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นภาครัฐจึงควรเร่งพิจารณาแนวทางส่งเสริมการลงทุนเพิ่มให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มขนส่ง
ที่มา : แนวหน้า

SIRI เจาะตลาดต่างจังหวัดฉลุย โกยยอด15,400 ล้านจาก 23 โครงการใน6จังหวัด


           "แสนสิริ" ปลื้มรุกขยายตลาดต่างจังหวัด กวาดยอดขายรวม 15,400 ล้านบาท จาก 23 โครงการ ใน 6 จังหวัดหัวเมืองหลักทั่วประเทศ ทั้งหัวหิน-ภูเก็ต-เขาใหญ่-เชียงใหม่-พัทยา-ขอนแก่น มูลค่าโครงการรวม 20,600 ล้านบาท ขณะที่ปลายปีนี้จ่อคิวปิดการขายโปรเจ็กต์ล่าสุด 'ดีเวียง สันติธรรม' มูลค่า 712 ล้านบาท หลังกระแสตอบรับดี
          นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  ผลจากการที่บริษัทตัดสินใจรุก
          ขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าของแสนสิริที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างเต็มรูปแบบในนี้ ล่าสุดบริษัทสามารถสร้างยอดขาย (พรีเซล) จากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในตลาดต่างจังหวัดได้แล้วถึง 15,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75% ของมูลค่าโครงการที่เปิดตัวแล้วในต่างจังหวัดจำนวน 23 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,600 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าแผนการดำเนินธุรกิจในตลาดต่างจังหวัด ที่บริษัทได้เคยประกาศไว้ในช่วงต้นปีจำนวนเพียง 15 โครงการ
          ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีความมั่นใจกับกระแสการตอบรับของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดต่างๆ จากความสำเร็จในการทยอยปิดการขายโครงการใหม่ๆ ในทุกจังหวัดได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งใน หัวหิน ภูเก็ต เขาใหญ่ เชียงใหม่ พัทยา และขอนแก่น ซึ่งเป็น 6 จังหวัดหัวเมืองหลักทั่วประเทศ
          โดยล่าสุดบริษัทยังได้เตรียมประกาศปิดการขายคอนโดมิเนียม โครงการที่ 2  ใน จ. เชียงใหม่ ในชื่อโครงการ ‘dVIENG  Santitham’ (ดีเวียง สันติธรรม) จำนวนทั้งสิ้น 264 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 712 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิดตัวการขาย (Pre-Sale) ในช่วงที่ผ่านมา ในราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าสร้างยอดขายที่ดีต่อเนื่องจากโครงการแรก จึงคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สามารถปิดการขายโครงการได้ภายในปลายปีนี้อย่างแน่นอน
          ทั้งนี้ ความสำเร็จจากการรุกขยายการพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดของแสนสิริตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างสูง จากการทยอยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและปิดการขายได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว ทั้งในทำเล หัวหิน ซึ่งนับว่าบริษัทครองความเป็นเจ้าตลาดในการพัฒนาคอนโดมิเนียมตากอากาศมาอย่างยาวนาน โดยโครงการที่ได้รับการตอบรับสูงรวมทั้งประสบความสำเร็จในปีนี้ ได้แก่ บ้านคุ้นเคย - บ้านคู่เคียง - บ้านอิ่มเอม - ซัมเมอร์ - ออทัมส์ - เชโลน่า เขาเต่า และโครงการล่าสุด บ้านเพียงเพลิน ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 67 % รวมถึงโครงการที่ขยายการพัฒนาในโซนชะอำ-หัวหิน อาทิ บ้านแสนคราม และบ้านแสนงาม เป็นต้น  นอกจากนี้ในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ บริษัทยังได้เตรียมแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมตากอากาศในทำเลชะอำ-หัวหิน เพิ่มเติมอีก 1 โครงการอีกด้วย
          ส่วนในจังหวัดภูเก็ต บริษัทเริ่มต้นความสำเร็จอย่างสูงกับการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดีคอนโดซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็วทั้งสิ้น อาทิ ดีคอนโด กะทู้ ซึ่งปิดการขายจำนวน 556 ยูนิตได้ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวันของการเปิดพรีเซลล์วันแรกในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา และ ดีคอนโด กะทู้ ป่าตอง ปิดการขายจำนวนถึง 653 ยูนิตได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 วัน ของการเปิดพรีเซลล์ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นบริษัทได้เดินหน้าตามแผนการดำเนินงาน โดยเปิดตัวโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์  ฮาบิเทีย ซึ่งเป็นบ้านแฝดสไตล์โมเดิร์น 2 ชั้น และฮาบิทาวน์ ทาวน์เฮาส์สไตล์โมเดิร์น เพื่อตอบรับกระแสความต้องการของกลุ่มคนทำงานหรือนักธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ที่มีดีไซน์ตอบสนองชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่อย่างลงตัว
ที่มา : ข่าวหุ้น 

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

11เดือนอาคารชุดผุด 204 โครงการ





แจ้งวัฒนะ : แหล่งข่าวจากสำนักส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กรมที่ดิน เปิดเผยถึงตัวเลขสถิติการจดทะเบียนอาคารชุดทั่วประเทศ (ทั้งโครงการ) ในช่วงเดือนมกราคมพฤศจิกายน 2555 ว่ามีผู้ประกอบการได้รับการจดทะเบียนอาคารชุดรวมทั้งสิ้น 204 โครงการ 900 อาคาร 63,461 หน่วย แบ่งเป็นในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ 80 โครงการ 114 อาคาร 21,102 หน่วย และในต่างจังหวัด 124 โครงการ 786 อาคาร 42,359 หน่วย
          ทั้งนี้ ในส่วนของการจดทะเบียนอาคารชุดทั่วประเทศ (ทั้งโครงการ) ณ เดือนพฤศจิกายน 2555 มีผู้ประกอบการได้รับการจดทะเบียน 26 โครงการ (อยู่ในกรุงเทพฯ 11 โครงการ ต่างจังหวัด 15 โครง การ) ซึ่งตัวเลขลดลงจากเดือนตุลาคม 2555 ที่มีการพัฒนาถึง 37 โครงการ
          สำหรับโครงการในกรุงเทพฯ 11 โครงการ เช่น 1.โครงการทีล สาทร-ตากสิน พัฒนาโดยบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เขตธนบุรี จำนวน 409 หน่วย  2.โครงการ 624 คอนโดเลต รัชดา 36 พัฒนาโดยบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เขตจตุจักร จำนวน 486 หน่วย 3.โครงการเดอะคัลเลอร์รี่ วิวิด พัฒนาโดยบริษัท วัน พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด เขตห้วยขวาง จำนวน 190 หน่วย 4.โครงการลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-เพชรบุรีตัดใหม่ พัฒนาโดยบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เขตสวนหลวง จำนวน 1,489 หน่วย 5.โครงการดิ แอดเดรส สุขุมวิท 61 พัฒนาโดยบริษัท เอเชี่ยน พร็อพ เพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เขตวัฒนา จำนวน 98 หน่วย เป็นต้น ส่วนโครงการในต่างจังหวัด 15 โครงการ ประกอบด้วย ชลบุรี 3 โครงการ สมุทรปราการ 2 โครง การ นครปฐม 2 โครงการ ปทุมธานี 2 โครงการ ที่เหลือมีจังหวัดละ 1 โครงการได้แก่ สุราษฎร์ธานี ละ 1 โครงการได้แก่ สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น นทบุรี เพชรบุรี ภูเก็ต ประจวบฯ
ที่มา : โลกวันนี้