วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ครึ่งปีตุนรายได้พุ่ง3หมื่นล้านการค้า"หนองคาย-ลาว"เฟื่อง


การค้าไทย-ลาวหนองคายครึ่งปีทะลุ 3 หมื่นล้าน น้ำมันและเครื่องกลหนักแชมป์ส่งออกสูงสุด ไทยได้ดุลการค้า 2.8 หมื่นล้าน   นายเผดิมเดช มั่งคั่ง นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ รักษาราชการแทนนายด่านศุลกากรหนองคาย เปิดเผยว่า การค้าชายแดนระหว่างไทยกับ สปป.ลาวที่ผ่านด่านศุลกากรหนองคาย ในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2555 ยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก 30,613.04 ล้านบาท แยกเป็นมูลค่าการส่งออกสูงถึง 29,318.92 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าจาก สปป.ลาว 1,294.12 ล้านบาท ประเทศไทยยังคงได้เปรียบดุลการค้า 28,024.80 ล้านบาท
          เมื่อนำมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ครึ่งปีงบประมาณแรกมาเปรียบเทียบ กับข้อมูลย้อนหลัง พบว่ามูลค่าการค้า เฉพาะครึ่งปีงบประมาณแรกมากกว่ามูลค่าการค้าทั้งปีของปีงบประมาณ 2551 และ มีมูลค่าน้อยกว่าปี 2552 เพียงเล็กน้อย คือในปีงบประมาณ 2552 มีมูลค่าการค้ารวม 31,314.93 ล้านบาท
          แต่เมื่อแยกมูลค่าการส่งออกและมูลค่าการนำเข้าเปรียบเทียบกัน ในปีงบประมาณ 2552 มูลค่าการส่งออกยังน้อยกว่าครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2555 คือใน ปี 2552 มีมูลค่าการส่งออก 29,282.54 ล้านบาท มีมูลค่าการนำเข้า 2,032.39 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้า 27,250.15 ล้านบาท ซึ่งยังน้อยกว่าครึ่งปีแรกของปี งบประมาณ 2555
          สินค้าที่ส่งออกไป สปป.ลาวมากที่สุดยังคงเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมัน มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 6,631.55 ล้านบาท รองลงมาเป็นรถยนต์มีมูลค่าการส่งออก 2,807.18 ล้านบาท และสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงมากอย่างต่อเนื่องเป็นปีแรกคือ เครื่องจักรกลหนัก มีมูลค่าส่งออกอยู่ในอันดับ 4 และติด 1 ใน 10 ของสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูง มีมูลค่าการส่งออก 2,082.85 ล้านบาท ขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์มีมูลค่าการส่งออก 2,161 ล้านบาท
          นอกจากนี้ ในกลุ่มของสินค้าผ่านแดนก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน แต่มีปริมาณไม่มากเท่ากับการค้าระหว่างไทยกับ สปป.ลาวคือ มีมูลค่ารวม 24,004.37 ล้านบาท แยกเป็นสินค้าจากต่างประเทศส่งเข้าไปใน สปป.ลาว 10,166.67
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

BGHลงทุนรพ.อุดรฯEASTWเจาะเสม็ด


              BGH ลงทุนโรงพยาบาลอุดรธานี าคาหุ้นดีดถึง100 บาท นักวิเคราะห์ยังเชียร์ซื้อส่วน EASTW ร่วมทุนผลิตน้ำขายบนเกาะเสม็ด  บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH) ขอเรียนให้ทราบว่า เมื่อวันที่19 มิ.ย. 2555 บริษัทได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ชื่อบริษัทโรงพยาบาลกรุงเทพอุดร เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ จ.อุดรธานี มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระเต็มจำนวน 500 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้นในบริษัทย่อยดังกล่าว 100%
          ด้านการซื้อขายหุ้น BGH แรงซื้อยังมีเข้ามาต่อเนื่องจนผลักดันให้ราคาปรับตัวขึ้น 3.50 บาท หรือ3.63% ปิดที่ระดับ 100 บาท มูลค่าการซื้อขายมากถึง 433 ล้านบาท  หุ้น BGH ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและสวนภาวะตลาด โดยรวมเป็นเพราะแรงเชียร์ของนักวิเคราะห์โดยเฉพาะจากบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ธนชาต คาดกำไรไตรมาส 2 ปีนี้เติบโตแข็งแกร่ง และมีโอกาสเข้าซื้อหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) เพิ่มจากปัจจุบันที่ถืออยู่ 23.3% คาดราคาหุ้นแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องเพราะปัจจุบันยังคงต่ำกว่าพื้นฐาน 115 บาท
          นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัทร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง (อบจ.)ในการจัดตั้งบริษัท เสม็ด ยูทีลิตี้ส์โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท บริษัทเข้าถือหุ้นสัดส่วน55% เพื่อลงทุนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำประปาจากน้ำทะเลบนเกาะเสม็ด m
ที่มา : โพสต์ทูเดย์

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไอฟาสเน้นกระตุ้นเด็กไทยเรียนภาษาเพิ่มเติมรับเออีซี


            "ไอฟาส"สถาบันสอนภาษาน้องใหม่ ปลุกเด็กไทยรุ่นใหม่หันเรียนภาษารองรับเปิดเออีซี เล็งผุดสาขาเพิ่มอีก 2-3แห่งในเขตกรุงเทพฯพร้อมขยายแฟรนไชส์ในหัวเมืองใหญ่ทั้งขอนแก่น เชียงใหม่ คาดสิ้นปีมีโต 20%
          ดร.วาทินเฉลิมดำริชัยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาภาษาไอฟาส(iFAST) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ไอฟาส มีแผนขยายสาขาอีก 2-3 แห่งในเขตกรุงเทพฯรวมทั้งจะเปิดสอนภาษาจีนและญี่ปุ่นที่เป็นภาษาอาเซียนเพิ่มเติมเพื่อรองรับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเสริมทักษะด้านภาษาที่หลากหลายโดยเฉพาะการนำไปใช้งานได้หลังจากการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีรวมทั้งไอฟาสยังมีแผนเดินหน้าสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและอยู่ในอันดับต้นๆที่ผู้บริโภครู้จักในกลุ่มของสถาบันพัฒนาภาษาทั้งหมดด้วย
          นอกจากนี้แผนการขยายธุรกิจในอีก3ปีข้างหน้าไอฟาสเตรียมวางแผนสร้างเครือข่ายธุรกิจโดยการเชื่อมโยงกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ และขยายในลักษณะแฟรนไชส์ เพื่อเปิดให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างๆ อาทิขอนแก่น ละเชียงใหม่ เป็นต้น เพื่อรองรับความต้องการของคนไทยในการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติมากขึ้น โดยใช้งบประมาณการลงทุนเบื้องต้นมูลค่ากว่า  3-5 ล้านบาทต่อสาขา
          "ในครึ่งปีหลังจะทำการประชาสัมพันธ์ โดยให้ดารานักแสดงที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันพัฒนาภาษาไอฟาสมาเป็นผู้ให้ข้อมูลคำปรึกษาและดึงดูดความสนใจให้ผู้ที่ต้องการเรียนภาษาเข้ามาสมัครเรียนมากขึ้นในส่วนคอร์สเรียนภาษาจะมีรูปแบบที่หลากหลาย ส่วนค่าเล่าเรียนขึ้นอยู่กับว่าเลือกเรียนหลักสูตรใดเรียนมากแค่ไหน และนานเท่าไร โดยรวมค่าเล่าเรียนมีตั้งแต่หลักพันขึ้นไปด้านแผนการสอนจะเน้นไปในทางการสื่อสาร เรียบเรียงความคิด และจับประเด็นหลักมากกว่าเรื่องของแกรมม่า และคำศัพท์ต่างๆขณะที่ศึกษาอยู่ทุกคนจะได้ทำข้อสอบที่เป็นมาตรฐานทั้งของไทย และต่างประเทศในบรรยากาศจริงและจะรายงานผลการสอบให้ทราบทันที เพื่อผู้เรียนจะได้เห็นพัฒนาการของตนเอง"
          สำหรับการทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องในครั้งนี้ ไอฟาสตั้งเป้าจะมีผู้เข้ามาสมัครเรียนเพิ่มขึ้น 100% และคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 20% ต่อปีโดยปัจจุบันสถาบันพัฒนาภาษาไอฟาสเปิดให้บริการ2สาขาได้แก่ สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน และสยาม สแควร์ ซึ่งเป็นสาขาใหม่เพิ่งเปิดให้บริการ2 เดือน มีผลการตอบรับที่ดีกว่าสาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เนื่องจากในย่านสยามสแควร์เป็นใจกลางด้านการค้า และจุดศูนย์รวมของเหล่าวัยรุ่น ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหลักที่วางเอาไว้คือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน โดยผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษากว่า60%ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มคนทำงาน หรือเจ้าของกิจการ
          "ผู้ที่สมัครเข้าเรียนภาษาทุกคนจะได้รับใบรับรองผลการเรียน จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยืนยันว่าได้เรียนจบ   คอร์สภาษาอังกฤษจากสถาบันพัฒนาภาษาไอฟาสอย่างไรก็ดีแม้ไอฟาสจะเป็นสถาบันสอนภาษาใหม่ แต่คาดว่าภายใน 1 ปี จะเริ่มเป็นที่รู้จักและคุ้นหูมากขึ้นจากการทำกิจกรรมการตลาด และประชาสัมพันธ์"
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

มข.ผลิตไบโอเอทานอลมันสำปะหลังเพิ่มพลังงานทดแทนลดวัสดุเหลือทิ้ง-ลดโลกร้อน


              รศ.ดร.เฉลิม เรืองวิริยะชัย อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยการผลิตไบโอเอทานอล (ลิกโนเซลลูโลสิก เอทานอล) จากลำต้นมันสำปะหลัง เพื่อเป็นพลังงานทดแทนในกลุ่มของพลังงานชีวภาพ โดยเมื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินเป็นแก๊สโซฮอล์แล้ว จะช่วยให้น้ำมันมีราคาถูกลง และช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกด้วย ว่า ปริมาณของเอทานอลที่ได้จะอยู่ที่ประมาณ 8-12 เปอร์เซ็นต์ ของวัตถุดิบตั้งต้นคือลำต้นมันสำปะหลัง
          รศ.ดร.เฉลิม กล่าวว่า แม้ว่าปริมาณของเอทานอลที่ได้จะอยู่ที่ 8-12 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่างานวิจัยนี้มีความคุ้มค่าในระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถขยายผลงานจากห้องปฏิบัติการ นำไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ โดยเมื่อนำเอทานอลที่ได้ไปผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นแก๊สโซฮอล์ จะทำให้น้ำมันมีราคาถูกลง และคิดว่าในอนาคตจะมีความคุ้มค่ามากขึ้น โดยเป็นอีกพลังงานทดแทนอีกทางเลือกหนึ่ง ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้ใช้ประโยชน์จากลำต้นมันสำปะหลังอย่างคุ้มค่า และช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ โดยแก๊สโซฮอล์มีองค์ประกอบต่างจากน้ำมันเบนซิน คือ น้ำมันเบนซินจะมีสารเมธิล เทอร์เทียรี บิวทิล อีเธอร์ หรือสาร MTBE เป็นสารเพิ่มออกเทนให้น้ำมัน ทำให้ป้องกันการน็อกของเครื่องยนต์ได้
          ส่วนแก๊สโซฮอล์จะใช้เอทานอลผสมลงในน้ำมันเบนซิน แทนสาร MTBE ซึ่งออกซิเจนที่เป็นส่วนประกอบในเอทานอล จะช่วยให้การเผาไหม้ภายในห้องเครื่องยนต์สมบูรณ์ขึ้น ลดปริมาณแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์หรือแก๊สพิษชนิดอื่นๆ ที่จะปล่อยออกมาจากท่อไอเสีย ช่วยลดมลพิษในอากาศ ที่จะส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน ในขณะที่สาร MTBE เป็นของเหลวติดไฟได้ มีราคาแพง แม้จะใช้แทนสารตะกั่วในน้ำมันเบนซินได้ แต่หากสูดดมเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นเหียน ระคายเคืองจมูกและคอ มีผลต่อระบบประสาท และยังพบว่าเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย
ที่มา : ข่าวสด

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

'เฉาก๊วยชากังราว'บุกอาเซียนทุ่มขยายรง.ขอนแก่น-หาดใหญ่


         "เฉาก๊วยชากังราว" รุกตลาดกัมพูชา-ลาวมาเลย์ หวังโกยรายได้ปีละ 100 ล้าน ขณะที่ยอดขายในประเทศอยู่ที่ 210 ล้าน พร้อมเดินหน้าลงทุนใหม่ 140 ล้าน ปรับปรุงโรงงานแม่ สร้างโรงงานใหม่ที่ขอนแก่น-หาดใหญ่ ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต ลดต้นทุนขนส่ง
          นายสุรกิจ  สุวรรณโรจน์ ผู้จัดการด้านการผลิต บริษัท เฉาก๊วยชากังราว จำกัด ผู้ผลิตเฉาก๊วยชากังราวรายใหญ่ของจังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีนี้บริษัทได้เพิ่มโอกาสทางธุรกิจโดยการส่งออกเฉาก๊วยไปต่างประเทศ ได้แก่กัมพูชา มาเลเซีย และ สปป.ลาว ซึ่งถือได้ว่า เป็นการเจาะตลาดต่างประเทศครั้งแรก ตั้งแต่เปิดบริษัทมาประมาณ 11 ปี
          ขณะนี้บริษัทได้เริ่มส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาวแล้ว ส่วนประเทศมาเลเซียอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรธุรกิจ เพื่อวางแผนการจัดจำหน่ายและการขนส่งสินค้า ซึ่งมั่นใจว่าสินค้าจะติดตลาดภายใน 1-2 ปี
          ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงใช้ชื่อสินค้าแบรนด์เดิม "เฉาก๊วยชากังราว" แต่จะต้องมีการปรับปรุงแพ็กเกจจิ้งใหม่ เช่น การใช้ฉลากภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้บริโภคต่างประเทศอ่านง่ายขึ้น โดยวางเป้าว่าในปีนี้จะมียอดขาย จากต่างประเทศประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 210 ล้านบาท
          สำหรับการผลิตเฉาก๊วยนั้น บริษัทได้ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัด
ขอนแก่น พื่อใช้เป็นศูนย์กลางการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนค่าขนส่ง และรักษาคุณภาพของสินค้าให้สดใหม่ อยู่ตลอดเวลา คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2556$
          นอกจากนั้น หลังจากก่อสร้างโรงงานที่จังหวัดขอนแก่นแล้วเสร็จ ก็จะเดินหน้าสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เงินลงทุน 20 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าในภาคใต้ คาดว่าจะเปิดโรงงานแห่งนี้ได้ภายในปี 2558 การขยายโรงงานไปตั้งที่ขอนแก่นและหาดใหญ่ นอกจากเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและการขนส่งได้ประมาณ 30%

          ส่วนภาคกลางและภาคเหนือ จะใช้โรงงานแม่ที่จังหวัดกำแพงเพชร เพราะระยะทางการขนส่งไม่ไกลมากนัก โดยเตรียมจะปรับปรุงโรงงานที่กำแพงเพชรให้มีประสิทธิภาพ เช่น เพิ่มจำนวนพนักงาน เพราะพนักงานที่มีอยู่ 70 คนยังผลิตเฉาก๊วยไม่ทันต่อคำสั่งซื้อ โดยมีกำลัง การผลิตประมาณ 8 หมื่นถุงต่อวัน
          สำหรับวัตถุดิบสำคัญคือต้นเฉาก๊วย ต้องนำเข้ามาจากเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และจีน เพราะเป็นพืชที่ปลูกได้ดีในพื้นที่อากาศหนาว ซึ่งเคยทดลองปลูกในไทยแล้ว แต่คุณภาพไม่ดี จึงต้องนำเข้าต้นเฉาก๊วยปีละ 100 ตัน ราคาตันละ 1 แสนบาท และภายในปีนี้ยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือน้ำสมุนไพรเฉาก๊วย
          นอกจากนี้ ยังได้เตรียมว่าจ้างทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรอุตสาหกรรมมาช่วยพัฒนาและผลิตเครื่องจักรที่ทันสมัย เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2558-2559
          อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2558 ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) คาดว่าผู้บริโภคจะรู้จัก สินค้าและมีความต้องการเพิ่มขึ้น เตรียมผลักดันผลิตภัณฑ์ให้เข้าไปจำหน่ายในร้านอาหารเพื่อรองรับตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ เช่น อเมริกา และยุโรป
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

'ส.ขอนแก่น'ทุ่มงบ100ล้านตั้งรง.สแน็กฮาลาลรับเออีซี


ส.ขอนแก่น ลงทุน 100 ล้าน ตั้งโรงงานสแน็กฮาลาลรับเสรีการค้า เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "มูชิ" แต่งตั้งเพนส์มาร์เก็ตติ้งกระจายสินค้าทั่วประเทศ  นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อหมู แบรนด์ "อองเทร่" เปิดเผยว่า ได้เตรียมแผนการลงทุนปีหน้า สร้างโรงงานผลิตสแน็กฮาลาลแห่งใหม่ ภายใต้งบประมาณ  100 ล้านบาท เพื่อผลิตอาหารฮาลาลรองรับการเปิดเออีซี ในปี 2558 จับตลาดกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลาม
          ขณะที่แผนการทำตลาดครึ่งปีหลังจะเน้นทำตลาดกลุ่มอาหารขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมูและไก่ หลังจากประสบความสำเร็จจากการทำตลาดแบรนด์อองเทร่ ที่สร้างยอดขายเติบโตถึง 30% โดยตั้งเป้ายอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์สแน็กปีนี้ไว้ที่ 250 ล้านบาท แบ่งเป็นแบรนด์อองเทร่ 200 ล้านบาท และแบรนด์มูชิ 50 ล้านบาท และยังตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีจากนี้ ว่าจะมียอดขายในกลุ่มดังกล่าว 500 ล้านบาท หรือเติบโตปีละ 20-30%
          ด้านนายไพรสารต์ โสภาจิตต์วัฒนะ ผู้อำนวยการ สำนักการตลาด 1 บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ใช้งบ 20 ล้านบาท เปิดตัวขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมูและไก่ด้วยวิธีปรุงแบบทอดกรอบ ภายใต้แบรนด์ "มูชิ" 2 รสชาติ คือ ฮอทแอนด์สไปซี่ และเบอร์เกอร์ไก่กระเทียม ขนาด 16 กรัม ราคาซองละ 20 บาท จับกลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-22 ปีที่มีไลฟ์สไตล์ ชื่นชอบการเล่นอินเทอร์เน็ต โดยแต่งตั้งบริษัท เพนส์มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่าย
          นางเพ็ญนภา ธนสารศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท เพนส์มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดีสทริบิวชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ได้เตรียมพร้อมกระจายสินค้าแบรนด์ มูชิ ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ และร้านโชห่วยที่มีอยู่ 4-5 หมื่นร้านค้าทั่วประเทศ โดยอาศัยจุดพักและกระจายสินค้าที่มีอยู่ 41 แห่ง ผ่านทีมงานขายกว่า 145 คน และมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายแบรนด์มูชิ ให้ได้ 50 ล้านบาท
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หอการค้าใช้พื้นที่ 100 ไร่ ดันโครงการ" 1 ไร่ 1 แสน"


          โครงการนาร่องที่ขอนแก่น ประสบความสาเร็จอย่างมาก เกษตรกรมีรายได้ เกินกว่า 2 แสนบาท/ไร่  หอการค้าไทยจับมือ 3 หน่วยงาน ผลักดันโครงการ "1 ไร่ 1 แสน" เปิดพื้นที่ 100 ไร่ ดึงเกษตรกรต้นแบบ 85 คนร่วมฝึกอบรมเข้ม หวังลดความเหลื่อมล้ำและเป็นต้นแบบให้เกษตรในพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน  นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานหอการ ค้าไทย เปิดเผยภายหลังการลงนามใน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ "แก้จน แก้จริง ปฏิบัติการ 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท" วานนี้ (25 มิ.ย.) ว่า หอการค้าไทยได้ ร่วมกับ 3 หน่วยงาน คือ มหาวิทยาลัยหอ การค้าไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ผลักดันโครงการ "1 ไร่ 1 แสน" เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรของประเทศให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
          ทั้งนี้ จะใช้พื้นที่แปลงนาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นพื้นที่ต้นแบบในการ ดำเนินธุรกิจ (Business Model) ให้กับเกษตรกรได้นำไปใช้ในการพึ่งพาต้นเองในระยะยาว
          จากนั้น หอการค้าไทยจะคัดเ ลือก เกษตรกรจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศและให้มาเข้าร่วมโครงการ โดยจะใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจำนวน 100 ไร่ ให้เกษตรกรใช้เป็นพื้นที่ต้นแบบ 85 คน คนละ 1 ไร่ และมีพื้นที่ส่วนกลางประมาณ 10 ไร่ ซึ่งหอการค้าไทยจะเป็นที่ปรึกษาใน การถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตร คัดสรรปัจจัยการผลิต วัตถุดิบ เพื่อให้เกษตรกรต้นแบบนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดต่อให้กับเกษตรกรในพื้นที่
          นอกจากนี้ สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม จะเป็นผู้พัฒนาและ ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับโครงการ และร่วมคัดเลือกเกษตรกรที่เข้าร่วม โครงการ ส่วน ธ.ก.ส.จะทำหน้าที่บริหาร โครงการและจัดสรรงบประมาณ พร้อมทั้ง คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบ ติดตามความ ก้าวหน้าและประเมินผล รวมถึงสนับสนุน ค่าใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตและ วัตถุดิบล่วงหน้าให้แก่เกษตรกรต้นแบบโดยไม่คิดดอกเบี้ย
          "โครงการ 1 ไร่ 1 แสน เป็นโครงการ ที่หอการค้าไทยผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เป็นการกระจายรายได้ให้ทั่วถึงทั้งประเทศ และ มั่นใจว่าโครงการฝึกอบรมเกษตรกรเพื่อให้มีความรู้และนำไปไปเผยแพร่ต่อในครั้งนี้ จะช่วยให้การกระจายรายได้ และสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรเกิดขึ้นได้จริงๆ" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
          ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หอการค้าไทยได้มีการดำเนินโครงการนำร่องแห่งแรกที่บ้านหนองแต้ จ.ขอนแก่น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เกษตรกรมีรายได้เกินกว่า 2 แสนบาทต่อไร และต่อมาได้ผลักดันการปลูกมันสำปะหลัง ที่บ้านมาบยางพร จ.ระยอง ก็ประสบความสำเร็จ และได้บรรจุโครงการดังกล่าวไว้ในแนวทางการทำงานของหอการค้าไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี ที่มุ่งในประเด็นการลดความเหลื่อมล้ำ ชี้นำเศรษฐกิจ ต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน สร้างสรรค์สังคมไทย และก้าวไกลสู่สากล
          ด้าน นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า โครงการนี้ ธ.ก.ส. มีเป้าหมายที่จะสร้างเกษตรกรต้นแบบ เพื่อกลับไปเป็นครูสอนให้กับผู้ที่สนใจใน พื้นที่ โดยเกษตรกรผู้เข้าฝึกอบรมจะต้อง ฝึกปฏิบัติจริงในพื้นที่ที่กำหนดเป็นระยะ เวลา 5 เดือนเรียนรู้กระบวนการผลิตใน ทุกขั้นตอน เช่น การจัดสรรพื้นที่แบ่งเป็น คันนา เพื่อใช้ปลูกพืชผักสมุนไพร พืชสวนครัว การขุดคูน้ำรอบแปลงนา เพื่อกักเก็บน้ำใช้รด ต้นไม้และเลี้ยงปลา การเลี้ยงเป็ดเพื่อเป็น รายได้เสริม มีการแปรรูปผลผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่นเมื่อได้ข้าวเปลือกจะแปรรูปเป็นข้าวสาร นำวัตถุดิบที่เป็นผลพลอยได้ คือ แกลบรำ ปลายข้าว ฟางข้าวมาสร้างประโยชน์เพิ่มเป็นรายได้ เป็นต้น
          นอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิต วิถีการผลิต ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดย เลิกอบายมุข 6 ได้แก่ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตรและเกียจคร้านการทำงาน พร้อมดำรงชีวิตโดยยึดหลักเกษตรอินทรีย์และเกษตรทฤษฎีใหม่ด้วย
          "ด่านพรมแดนแห่งใหม่นี้ จะเป็นด่านพรมแดนเพื่อการขนส่งสินค้า โดยจะแยกการขนส่งสินค้าออกมาจากด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 9 กม."
          ด้าน พ.ท.อภิราม รามนัฐ รอง ผบ.ฉก.กรม.ทพ. 12 กกล.บูรพา (รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา) ในฐานะผู้ดูแลด้าน ความมั่นคง กล่าวว่า ได้ปรับพื้นที่บริเวณจุดที่จะก่อสร้างด่านพรมแดนถาวรแล้ว 12 ไร่ พร้อมทั้งเคลียร์ ระเบิดสมัยสงครามกัมพูชาจนหมดแล้ว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ดัน SME ลุยลงทุนอาเซียน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีนโยบายส่งเสริมให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะเอสเอ็มอีขนาดกลางนำร่องออกไปลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียนให้มากขึ้น
รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 58 เพราะเอสเอ็มอีขนาดกลางมีการใช้แรง
งานจำนวนมาก เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานและมีศักยภาพที่จะเข้าไปลงทุนมากกว่าเอสเอ็มอี
ขนาดเล็ก ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กำลังศึกษาและจัดทำมาตรการ
ส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้สิทธิประโยชน์ "สาเหตุที่ต้องการเน้นให้เอสเอ็มอีออกไปลงทุนอาเซียนเพราะ
ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีความพร้อมและได้ออกไปลงทุนอยู่แล้ว โดย 10 ปีที่ผ่านมานักลงทุนไทยออกไป
ลงทุนในอาเซียนแล้ว 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯหากพิจารณาจากมูลค่าการลงทุนในอาเซียนแล้ว ไทยลงทุน
ในอาเซียนมากเป็นอันดับ 2 รองจากนักลงทุนสิงคโปร์อันดับ 2 รองจากนักลงทุนสิงคโป
ร์
ที่มา :   ไทยรัฐออนไลน์

บจ.ผุดแผนธุรกิจรุกAEC


             กระแสการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กำลังมาแรง หลายธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ต่างตื่นตัวกันขนานใหญ่ เช่นเดียวกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.)  หลายแห่งที่อยู่ระหว่างปรับวิสัยทัศน์ เตรียมแผนธุรกิจอย่างเข้มข้น เพื่อให้ทันต่อการแข่งขันและโอกาสที่จะถาโถมเข้ามาในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า  "วีรพันธ์ พูลเกษ" กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น
          (TICON) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเข้าสู่AEC ในปี 2558 โดยมองว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ความต้องการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะไทยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ หากผู้ประกอบการต้องการขยายธุรกิจออกไปสู่อาเซียน ก็ต้องเข้ามาลงทุนด้านคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานขนส่งออกไป
          "ปัจจุบันเรามีฐานธุรกิจอยู่ในเขตกรุงเทพฯอยุธยา ชลบุรี และปราจีนบุรี แต่จากนี้ไปจะเริ่มขยายออกไปสู่พื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านมากขึ้นรวมทั้งมีแผนออกไปทำธุรกิจต่างประเทศด้วยโดยอยู่ระหว่างเตรียมเงินทุนให้พร้อมและมองหาที่ดินใหม่ๆ" วีรพันธ์ กล่าว
          ทั้งนี้ บริษัทมีแผนก่อสร้างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าให้ได้ปีละประมาณ 2 แสนตารางเมตร ซึ่งในช่วงนี้คาดว่างบลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินจำนวน 2,000 ล้านบาท และงบก่อสร้าง3,000 ล้านบาท
          สำหรับรายได้รวมปีนี้คาดว่าจะมากกว่า5,000 ล้านบาท ซึ่งโตขึ้นจากปี 2554 ไม่ต่ำกว่า 100% และคาดว่าภายใน 2-3 ปี รายได้จากคลังสินค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 30%
          "เสริมคุณ คุณาวงศ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ (CMO) กล่าวว่า อุตสาหกรรมออร์แกไนซ์จะได้รับประโยชน์จากการเปิดAEC มาก เพราะความสามารถของผู้ประกอบการไทยถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของอาเซียน
          สำหรับ CMO ได้ตั้งแผนกอาเซียนขึ้นมาศึกษากฎระเบียบ โอกาสทางธุรกิจ และระบบขนส่งในภูมิภาคนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะต้องหาพันธมิตรท้องถิ่นเข้ามาร่วมทำธุรกิจ เพราะในต่างประเทศจำเป็นต้องขอใบอนุญาตด้วย
          นอกจากนี้ อาจต้องออกไปตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศที่ห่างไกลจากไทยและไม่มีจุดเชื่อมโยงระบบขนส่งเช่น อินโดนีเซีย เพราะไม่สามารถขนส่งอุปกรณ์เข้าไปได้ ส่วนประเทศใกล้เคียงก็จะใช้กรุงเทพฯ เป็นฐานในการทำธุรกิจ
          "เป้าหมายหลักของเราอยู่ที่อินโดนีเซียกับพม่า ธุรกิจที่โฟกัสมากสุด คือ การจัดงานอีเวนต์ การจัดกิจกรรมการตลาด คอนเสิร์ตและโชว์ทางวัฒนธรรม เราคาดว่าผลจากการเปิด AEC จะทำให้รายได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าโตขึ้น 100% จาก 1,000 ล้านบาท เป็น2,000 ล้านบาท" เสริมคุณ กล่าว
          "ประกิต ประทีปะเสน" ประธานกรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) ให้ความเห็นว่า บริษัทส่งออกสินค้าไปขายที่กัมพูชาและพม่าอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้จะขยายตลาดออกไปสู่มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยการเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าที่ จ.สุราษฎร์ธานี จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 1 แห่งที่ จ.
ขอนแก่น ซึ่งครอบคลุมตลาดอีสานและกัมพูชา
          "เราคงไม่ไปสร้างโรงงานในบริเวณที่เชื่อมต่อกับเพื่อนบ้านเพราะเสี่ยงเกินไป แต่จะไปตั้งศูนย์กระจายสินค้าแทน ซึ่งสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้เช่นกัน" ประกิต กล่าว
          "ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอฟอีซี (MFEC) กล่าวว่าธุรกิจไอทีจะได้รับประโยชน์จากการเปิด AEC ทางอ้อม โดยหลังจากที่ทุกประเทศเปิดเสรีแล้วจะทำให้การแข่งขันสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว เสริมประสิทธิภาพแข่งขันและการวัดผลที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนด้านไอทีจำนวนมาก
          "บริษัทได้ปรับตัวรองรับ AEC มานานแล้วด้วยการควบรวมกิจการกับบริษัทหลายแห่งเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น"ศิริวัฒน์ กล่าว
ที่มา : โพสต์ทูเดย์

โรงตึ๊งขอนแก่น รับจำนำผ้าไหม


นายสุวรรณ แสนใหม่ ผู้จัดการสถานธนานุบาลนครขอนแก่น เปิดเผยว่า เวลานี้โรงรับจำนำเทศบาลนครขอนแก่นได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลนครขอนแก่น ค้ำประกันเงินกู้จากธ.ก.ส.ในการปล่อยกู้ให้สถานธนานุบาลขอนแก่น จำนวน 40 ล้านบาท เพื่อจะมารองรับประชาชนที่จะมาขอรับจำนำหรือมาใช้บริการในช่วงเปิดเทอมและช่วงทำนาพอดี ปกติใช้เงินจำนวนปริมาณเท่านี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงินถ้าพี่น้องชาวขอนแก่นหรือจังหวัดใกล้เคียงที่เดือดร้อนมาเราช่วยได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ขอให้บอกมา ทางเรามีเงินอยู่ประมาณ 300 ล้านบาท ที่จะรองรับพี่น้องประชาชนที่จะมาจำนำสิ่งของหรือทรัพย์ สินที่มีค่า 
               ส่วนทรัพย์สินที่จะนำมาจำนำได้ เช่น ทองรูปพรรณ ทองแท่ง สร้อย เพชร นาก เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ประชาชนที่มีผ้าไหมกนำมาจำนำได้ ช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยถูก หลักฐานที่ต้องนำมาประกอบการจำนำ ถ้าบัตรประชาชนไม่มี หรือบัตรหาย ขอให้นำหนังสือที่ทางราชการออกให้เพื่อมายื่นเป็นหลักฐานในการจำนำได้ เช่น บัตรเหลืองหรือเป็นหนังสือสำคัญที่ทางราชการออกให้ แต่บัตรประชาชนเป็นระบบออนไลน์ ใช้เวลา 20 นาทีก็ได้แล้วทั่วประเทศ


วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คอลัมน์ รู้ทันการลงทุน: 'SORKON'เติบโตเด่น-พื้นฐาน104.00บาท


หุ้นแนะนำ SORKON ประเด็นการลงทุน : SORKON หลังถูกผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ผลการดำเนินงานบริษัท ค่อยๆฟื้นตัว และคาดจะเติบโตสูงต่อจากนี้ไป โดยคาดว่าการพลิกฟื้น(Tur n Around) ของผลการดำเนินงานยังไม่ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นปัจจุบัน
          ทั้งนี้หลังจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2554-2559 จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 43% ต่อปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่เราศึกษา 17% ต่อปี
          โดยรายได้ธุรกิจหลัก 80% มาจากผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรแปรรูปภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท เช่น ส.
ขอนแก่น อองเทร์ สัดส่วนโครงสร้างรายได้ส่วนที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อปลา (ลูกชิ้นปลา)และไก่ การผลิตอาหารกล่องสำเร็จรูปส่งขายใหเซเว่น-อีเลฟเว่นและธุรกิจอาหารปรุงสำเร็จ
          ปัจจัยหนุนการเติบของรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น จะมาจาก1. การขยายเครื่องจักรผลิตอาหารสำเร็จรูป (คาด 4Q/55 เริ่มรับ
          รู้รายได้เพิ่มจากการขยายกำลังการผลิตลูกชิ้นปลา) 2. บริษัทได้ซื้อโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตอาหารสำเร็จรูปส่งขายในตลาดอาเซียนหลังเปิดเสรี AEC และรองรับธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อ ร้าน แซบเอ็กซเพรสซึ่งปีนี้เปิด 5-6 สาขา และตั้งเป้าหมายขายแฟรนไชส์ 200 สาขา ภายใน 3 ปีเราคาดปัจจัยหนุนราคาหุ้นระยะสั้น จะมาจากกำไรสุทธิ 2Q/55 ที่คาดว่าจะเติบโตโดดเด่น จากการรับรู้กำไรพิเศษตามการปรับมูลค่าราคาที่ดินใหม่ (ทั้งนี้ปี 54 บริษัทมีส่วนเกินทุนจากการตีราคาที่ดินราว100 ล้านบาท ในส่วนผู้ถือหุ้น)
          ความเสี่ยงต่อประมาณการกำไร คือราคาวัตถุดิบ (เนื้อสุกร)ที่ผันผวน แต่เราคาดจะกระทบอัตราการทำกำไรจำกัด เพราะ 1 ใน 4 ของวัตถุดิบมาจากการดำเนินธุรกิจฟาร์มสุกรของบริษัท ขณะที่ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปของบริษัท เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลักภาระไปยังผู้บริโภคขั้นปลายได้ง่าย และกระบวนการผลิตอาหารสำเร็จรูปสามารถจัดเก็บวัตถุดิบด้วยการแช่แข็งทำให้การบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบมีประสิทธิภาพ คำแนะนำ ซื้อ : ราคาเหมาะสมปี 2555 ที่ 104 บาท อิงวิธี PEG (กำหนดให้ PE/Growth เท่ากับ 1 เท่า) โดยคาด EPS-Growth (CAGR) ปี 2555-57 ที่ 21.7%
ที่มา : ทันหุ้น

เอเปกยกแบบเรียนคณิต-วิทย์มข. ตัวอย่างความคิดสร้างสรรค์ต้นแบบโครงการอื่น


ผศ.ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเป็นตัวแทนของประเทศไทยติดตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษา ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก ครั้งที่ 5 หรือ The 5th APEC Education Ministerial Meeting (AEMM) ณ เมืองเคียงจู ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี โดยที่การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่มีความสำคัญสูง มีการประชุมกลุ่มคณะทำงานเพื่อรองรับนโยบายของที่ประชุมรัฐมนตรีมาจัดทำแนวทางการดำเนินงานลงไปสู่การปฏิบัติจริง มีสมาชิกมาจาก 21 ประเทศที่มีพื้นที่ครอบคลุมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งมายาวนาน และกำหนดแนวดำเนินการให้กับประเทศสมาชิกจะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันนั้น ในการประชุมครั้งนี้โครงการความร่วมมือศึกษาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ละมหาวิทยาลัยทสึคูบะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ถูกกล่าวอ้างถึงในฐานะผู้นำความคิดสร้างสรรค์ และเป็นต้นแบบในการดำเนินโครงการอื่นๆ อาทิ สนับสนุนโครงการของมหาวิทยาลัยแห่งชาติปูซาน ประเทศเกาหลี โดยการเตรียมความพร้อมครูมัธยมปลายผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งชาติ ประเทศสิงคโปร์ และมหาวิทยาลัยไวกาโต้ ประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมด้วย
          ผศ.ดร.ไมตรีกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในการประชุมดังกล่าวยังได้จัดนิทรรศการแสดงผลงาน 6 ปีที่ผ่านมา ณ ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของประเทศบรูไนและสิงคโปร์ ซึ่งตนได้ซักถามรายละเอียดหนังสือจากโครงการเลสซัน สตั๊ดดี้ (Lesson Study) ทำให้ทราบว่าหนังสือชุดดังกล่าวได้มีการแปลเป็นภาษาบรูไนแล้ว รวมถึงภาษาสเปนและภาษาสิงคโปร์
          "สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในแทบทุกด้าน แต่อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มข. ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรอบรมให้กับครูในเรื่องเลสซัน สตั๊ดดี้ หลายครั้งด้วยกัน นับว่าเป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีชื่อเสียงแต่ได้รับความสนใจ" ผศ.ดร.ไมตรีกล่าว
ที่มา : ข่าวสด










วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อสังหาฯแห่ลงทุนภูธรเน้น “ขอนแก่น-ภูเก็ต”



                ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป แต่การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศยังคงเดินหน้า ซึ่งผู้ประกอบการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างพากันลงทุนโครงการต่างๆ ทั้งคอนโดมิเนียม ชอปปิง มอลล์ ศูนย์การค้า และบ้านพักอาศัย โดยเน้นลงทุนในจังหวัดใหญ่ๆ เช่น  ขอนแก่นและภูเก็ต
          นางสาวดรุณี คามวัลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทในเครือกันยารัตน์ กรุ๊ป  จังหวัดขอนแก่น ล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม ขนาด 14 ชั้น จำนวน 235 ยูนิต มูลค่าลงทุน 900 ล้านบาทภายใต้ชื่อโครงการกันยารัตน์ เลควิวล์ ณ ริมบึงแก่นนคร โดยขณะนี้การก่อสร้างฐานรากได้เสร็จเรียบร้อย ใช้งบประมาณเบื้องต้นกว่า 100 ล้านบาท หลังจากนี้จะเริ่มก่อสร้างตัวอาคาร คาดแล้วเสร็จในปลายปี 2556 ทั้งนี้หลังจากเปิดตัวโครงการเมื่อปี 2554  มียอดจองซื้อแล้ว 127 ยูนิต หรือเกินกว่า 50%
          "มีลูกค้าเข้าชมห้องตัวอย่างและ ขอจองมากเป็นพิเศษ แม้อาคารจะยัง ไม่ขึ้น อาจเป็นเพราะความต้องการ ที่อยู่อาศัยแบบคนเมืองกำลังได้รับ ความนิยม ประกอบกับการแข่งขันตลาดคอนโดมิเนียมค่อนข้างรุนแรง โดยล่าสุดแสนสิริ ก็เข้ามาเปิดโครงการแต่ยังไม่ขาย จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ยอดขาย ของเราพุ่งขึ้น รวมถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ของเรา "
          นอกจากนี้บริษัท ยังมีแผนจะก่อสร้าง อาคาร 3 ชั้น มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อเป็นชอปปิงมอลล์แห่งใหม่ของเมืองขอนแก่นโดยเน้นสินค้า ร้านอาหารแบรนด์ดังที่บางแห่ง ยังไม่มีในขอนแก่น เช่นฮองมิน และอีกหลายแบรนด์จากเกาหลี ญี่ปุ่น ทำให้บริเวณนี้เป็นศูนย์รวมการค้า อีกแห่งหนึ่ง และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของกันยารัตน์และใกล้เคียง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนมิ.ย. 2556
          "กระแสตอบรับเข้ามาแรง เราจึงมั่นใจว่า มาถูกทางแล้ว แม้การแข่งขันค่อนข้างรุนแรง มีคอนโดเกิดขึ้นหลายแห่งจาก ทั้งท้องถิ่นและส่วนกลาง แต่ราคาของเราถือว่าไม่แพง เริ่มต้นแค่ 1.96 ล้านเท่านั้น หรือตร.ม.ละ 50,000-90,000 บาท สูงสุด 9.7 ล้านบาท สำหรับห้องขนาด 107.3ตร.ม. ชั้น 12 แต่จะมีการปรับราคาขึ้นอีก 5% เมื่อก่อสร้างขึ้นถึงชั้น 8 และปรับอีก 5% ช่วงเดือนมิ.ย. ปีหน้า" นางสาวดรุณี กล่าว
          สำหรับคอนโดมิเนียม ที่เตรียมก่อสร้างในจังหวัดขอนแก่น โดยอยู่ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ประกอบด้วย นักลงทุนจากส่วนกลางแสนสิริ ที่ขยับออกสู่ภาคอีสาน โดยหวังแย่งชิงตลาดหัวเมืองหลัก โดยกล้ายึดเอาทำเลทองพื้นที่ริมถนนศรีจันทร์ ใกล้ศาลหลักเมืองที่หลายเจ้ารวมทั้งกันยารัตน์เคยคิดจะซื้อ แต่ไม่กล้าเนื่องจากต่างก็เกรงว่าจะมีแรงต้านว่าบังศาลหลักเมือง แต่ก็ประกาศและขอทำ อีไอเอก่อนเปิดขายโครงการภายในปลายปีนี้ ซึ่งราคาขายใกล้เคียงกับกันยารัตน์ เริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาทหรือ 5-9 หมื่นบาทต่อตร.ม.
          ยังมี ซีพี ทาวเวอร์ ที่ได้ขึ้นโครงการกัลปพฤกษ์ คอนโด ที่ริมถนนมะลิวัลย์ ติดกับโรงพยาบาลประชาเวช ซึ่งเป็นโครงการขนาด 400 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท ส่วนเจ้าถิ่นกลุ่มพิมานกรุ๊ป  โครงการเมโทรคอนโดมิเนียม ทำเลที่ตั้งพื้นที่กว่า 15 ไร่ ติดถนนมิตรภาพใกล้กับเซ็นทรัลพลาซา
          ล่าสุด บริษัท หนึ่งนคร จำกัด ของ วัฒนา ช่างเหลา ปลายปี 2555 นี้มีแผนจะขึ้นเมืองเอกสกายคอนโด ที่บริเวณตรงข้ามศาลหลักเมือง เป็นคอนโดสูงขนาด 35 ชั้น 800 ยูนิต  ถือว่าเป็นเมกะโปรเจคใหม่ มาแรง และกล้าที่จะขึ้นโครงการขนาดใหญ่ใกล้ศาลหลักเมือง
          นายอภิชาติ จูตะกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในจังหวัดภูเก็ตไว้ 4,500 ล้านบาท โดยมีโครงการลงทุน ดี คอนโด กะทู้ 556 ยูนิต, ดี คอนโด กะทู้ป่าตอง 653 ยูนิต, ฮาบิเทีย เกาะแก้ว-ภูเก็ต 244 ยูนิต, ฮาบิทาวน์ เกาะแก้ว-ภูเก็ต 228 ยูนิต ทั้งหมดอยู่ระหว่างก่อสร้าง และล่าสุดเปิดโครงการ ดี คอนโด ครีก  806 ยูนิต
          นอกจากนี้ยังจะเปิดโครงการ คอนโดมีเนียมแบรนด์ "เดอะ เบส" 7 ชั้น จำนวน 311 ยูนิต   ภายใต้ชื่อโครงการ เดอะ เบส ดาวน์ทาวน์-ภูเก็ต เจาะกลุ่มคนทำงานและนักธุรกิจ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท บนพื้นที่ 4 ไร่ ใกล้อุทยานอาหารไทนาน และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต มีห้องให้เลือก 2 รูปแบบ คือ แบบ 1 ห้องนอนขนาด 33.5 -34.5 ตร.ม. และ 2 ห้องนอนขนาด 55.5-58.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวครั้งแรกในระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. - 1 ก.ค. 2555
          "เราวางแผนการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อให้มีโครงการใหม่ครอบคลุมทุกประเภท ที่อยู่อาศัยและระดับราคา โดยเตรียม เปิดแบรนด์คอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ เจาะกลุ่มคนทำงานและทำธุรกิจที่ตัวเมืองโครงการบ้านเดี่ยว และโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศติดทะเล เจาะกลุ่มตลาดบน ซึ่งพร้อมเปิดตัวภายในปีนี้"
          นายอภิชาติ  ย้ำว่า ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทั่วโลก ทำให้มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มขยายการพัฒนาทั้งเมืองและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตลาดกลุ่มคนทำงานและนักธุรกิจทั้งไทยและ ต่างชาติในจังหวัดภูเก็ต ขยายตัวค่อนข้างสูง และมีความต้องการเป็นเจ้าของ รวมทั้ง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ดังนั้นทางบริษัทจึงมีความมั่นใจในศักยภาพของตลาดภูเก็ต และมีความมุ่งมั่นที่จะขยายการลงทุนในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง
          ภูเก็ตเป็นเมือง ท่องเที่ยวที่มี'ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทั่วโลก ทาให้ มีความแข็งแกร่ง ทางเศรษฐกิจ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ