วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปลุก SMEs อีสาน 3 หมื่นราย'ไม้-กระจกรถ' บุกลงทุน สปป.ลาว


ภารกิจของ "กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม" ช่วงปี 2555 เป็นต้นไป กำลังเร่งขับเคลื่อนแผนพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แถบจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุดรธานี หนองคาย ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพภาคการผลิต สามารถขยายตลาดและการลงทุนเปิดสาขาใหม่เข้าไปยังเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาวได้  นางศมน ชคัตธาดากุล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท อุดร กระจกยนต์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท อุดรกระจกรถยนต์ เป็นตัวแทนจำหน่ายกระจกรถยนต์และฟิล์มกรองแสงรายใหญ่สุดในภาคอีสาน ปีที่ผ่านมารายได้ 154 ล้านบาท เติบโต 25% จากกระจกรถยนต์ 60% และอื่นๆ 40% มา ได้แก่ ฟิล์มกรองแสง ประดับยนต์ จีพีเอส ปี 2555 ยอดขายกระจกรถยนต์จะเติบโต 2 เท่า จาก 20 เป็น 40% เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์หลังน้ำท่วม จึงเตรียมขยายในอุดรธานีและอุบลราชธานี กำลังเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา ที่ขอนแก่น ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 10 ปี จะมี 10 สาขา รวมทั้ง เป็นที่ 1 ในทุกสินค้าของภาคอีสาน
          ตั้งเป้าขึ้นอันดับ 1 ตลาดกระจกติดรถยนต์ใน สปป.ลาว ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 70% ทำรายได้ 10% ของยอดขาย วางแผนจะไปลงทุนเปิดสาขาด้วย ผลจากการเติบโตด้านโลจิสติกส์ในลาวเชื่อมโยงกับจีน และเวียดนามผ่านเวียงจันทน์ ในอนาคตลาวจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้ประกอบการต้องใช้โอกาสจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ขยายธุรกิจรับตลาดที่กว้างขึ้น และตั้งรับคู่แข่งจากต่างประเทศด้วย  บริษัทอุดรกระจกยนต์เป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งในภาคอีสานและลาว ถ้าเปิดเออีซีจะส่งผลให้เติบโตเพิ่มขึ้นอีกปีละ 5-10% ตอนนี้จึงเข้าร่วมกับโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกับกรม มาตลอดตั้งแต่ปี 2549 สามารถปรับปรุงการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีผลให้รายได้ขยับจากปี 2549 ปัจจุบันทำได้กว่า 30 ล้านบาท
          นายกฤษฎา บุตรเจริญ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท กฤษฎา อุตสาหกรรมค้าไม้ จำกัด และประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ในฐานะผู้รับผลิตและจำหน่ายสินค้าไม้พื้นแปรรูปและเฟอร์นิเจอร์ เมื่อปี 2554 มีรายได้ 60 ล้านบาท มากที่สุดจากสินค้าประตู หน้าต่าง และไม้พื้น ส่วนมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมไม้ทั้งหมด ราวปีละ 4,000 ล้านบาท ขณะนี้ตลาดในประเทศเติบโตดีมาก ปรับจาก 80 เป็น 90% ส่วนการส่งออกในอดีต ตลาดญี่ปุ่นกับสหภาพยุโรป รวมกว่า 20% แต่การแปรรูปผลิตภัณฑ์ไม้ ต้องนำเข้าวัตถุดิบจาก สปป.ลาว ไม้ประดู่ มะค่า ไม้แดง แต่มีอุปสรรค โลจิสติกส์ล่าช้า บวกกับสัมปทานที่ไทยได้กำลังจะลดลง เพราะรัฐบาล สปป.ลาว ต้องการเพิ่มพื้นที่ป่ามากขึ้นเป็น 45% ต่อไปจะใช้วัตถุดิบจากไม้ยางพาราที่ปลูกในหนองคายและบึงกาฬเพิ่มขึ้น สำหรับต้นทุนการทำเฟอร์นิเจอร์ มาจากวัตถุดิบ 50% ค่าแรง 30% ค่าไฟฟ้า 10% กำไรสุทธิ (Margin) อยู่ที่ 5-10%
          นอกจากนี้ บริษัทยังเติบโตตามตลาดผลิตบรรจุภัณฑ์เชิงพาณิชย์เพื่อการ ส่งออก (พาเลต) โดยใช้ไม้ยางพารา ส่วนอีก 10-15 ปี เมื่อลาวเติบโต ผู้ประกอบการในหนองคายจะมีโอกาสมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนสินค้าและตัวแทนจำหน่าย เพราะอยู่ตรงข้ามกับเวียงจันทน์ การค้าขายตามแนวชายแดนปี 2556 จะทำได้ถึง 50,000 ล้านบาท เพราะลาวมีกำลังซื้อสูงขึ้นมาก แต่ธุรกิจเอสเอ็มอีในหนองคายยังไม่เติบโตเท่าที่ควร
          นายกฤษฎากล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะทำให้ผู้ประกอบการมีความรู้ทางธุรกิจ และสามารถสร้างเครือข่ายใหม่ได้เป็นอย่างดี  นายวีรนันท์ นีลดานุงวงศ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การเปิด เออีซี ทำให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นห่วงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในภาคการผลิตที่มีกว่า 300,000 ราย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้ผลิตป้อนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงได้พยายามพัฒนาผู้ประกอบการ แต่แนวโน้มไม่สามารถสร้างได้ทันทั้งหมด และยอมรับโครงการที่ทำอยู่ปัจจุบัน ยังไม่ทั่วถึงความต้องการทั้งหมด ตามแผนปีงบประมาณ 2556 ได้ของบประมาณเพิ่มอีกหลายร้อยล้านบาท มุ่งเน้นพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมรายสาขา ลำดับแรกต้องเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ
          นายวุฒิชัย ตางาม ผู้อำนวยศูนย์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 มีหน้าที่ดูแลผู้ประกอบการใน 4 จังหวัด คือเลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ และเลย อนาคตจะเพิ่มนครพนมอีกแห่ง แต่ได้รับงบฯเพียง 14 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือดูแล
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

ม.ขอนแก่นวิจัยครีมสลายเซลลูไลท์


รศ.วัชรี คุณกิตติ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยผลการวิจัยเรื่อง ผลิตภัณฑ์สำหรับนวดสลายเซลล์ลูไลท์ ว่า ทีมงานได้วิจัยค้นหาสมุนไพรเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบ โดยเน้นที่มีคุณสมบัติเพิ่มการเผาผลาญไขมันในชั้นผิวหนังและการไหลเวียนของระบบเลือดที่ผิวหนัง พบว่ากาแฟ มะนาว ขิง น้ำมันตะไคร้ มีคุณสมบัติตรงตามต้องการ จึงนำมาวิจัยและพัฒนาสูตรที่เหมาะสม และพร้อมที่จะส่งต่อให้ภาคเอกชนที่สนใจนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นได้เพราะมีผลงานวิจัยรองรับอย่างชัดเจน รวมทั้งการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพในอาสาสมัคร 40 คน อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์นี้จะต้องใช้คู่กับการนวดเท่านั้น ทั้งแบบนวดมือและนวดด้วยเครื่อง
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

เอมัสท์ลุยอสังหาขอนแก่นเต็มสูบ


             น.ส.เสาวภาคย์ ถนอมศักดิ์กุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ มัสท์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่าทิศทางธุรกิจ 3 ปีจากนี้ จะมีรายได้ 1.5 พันล้านบาท ภายใต้จุดยืนบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้จริง เบื้องต้นจะมุ่งลงทุนย่านบางนา-ตราด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควบคู่กัน โดยเริ่มจากจังหวัดขอนแก่น บริษัทเริ่มเข้าไปปี 2554 เปิดโครงการเลควิลล์ โฮมออฟฟิศ ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท จำนวน 80 ยูนิต เนื้อที่ 5 ไร่ มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท และปิดการขายภายใน 3 เดือน ทำให้บริษัทมั่นใจศักยภาพในจังหวัดขอนแก่นซึ่งไม่เฉพาะกลุ่มเป้าหมายท้องถิ่น แต่มีลูกค้าจังหวัดใกล้เคียง อาทิ อุดรธานี รวมถึงลูกค้ากรุงเทพฯ ที่ย้ายเข้าไปทำธุรกิจในขอนแก่นทำให้ในปลายปีนี้ บริษัทจะเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มอีก 87 ไร่ แบ่งการพัฒนาเป็น 3 เฟส ในระดับราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีการดูดซับค่อนข้างดี
          นายชาญชัย สือวงศ์ประยูร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอ มัสท์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ราคาที่ดินในจังหวัดขอนแก่น ปรับขึ้นเร็วมากจนหาเหตุผลมารองรับยาก โดยเมื่อต้นปีบริษัทได้เริ่มเข้าไปเจรจาซื้อ จนถึงปัจจุบันราคาปรับขึ้นไปถึง 10-20%
          ส่วนโครงการในกรุงเทพฯ ซึ่งเริ่มจากโครงการเซนมูระ (Zenmura) ศรีนครินทร์-บางนา เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นเซน 89 ยูนิต มูลค่ารวม 500 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวบนขนาดที่ดินเริ่มที่ 50 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 200 ตร.ม. ราคา 5.49-7.5 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 15% และในวันที่ 1 ก.ย. บริษัทจะจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการพร้อมโปรโมชั่นชุดครัว GIO สูงสุด 5 แสนบาท คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 15-20% โดยที่บ้านล็อตแรก 30 ยูนิต จะสร้างเสร็จพร้อมโอนภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัทมีประสบการณ์ลงทุนโครงการกัลปพฤกษ์ และดิ เอ็นเทอร์ ทาวน์เฮาส์ ย่านบางนา-ตราด ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มา 15 ปี
ที่มา : ข่าวสด 

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ธปท.เร่งแผนแม่บทดันไทยลงทุนนอก ยันไม่สนตั้งกองทุนมั่งคั่ง


ธปท.ชี้การออกไปลงทุนนอก ช่วยกระจายความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยได้ แต่ทักษะนักลงทุนคนไทยยังอ่อน ต้องใช้เวลาอีก 5-10 ปี ก่อนโกอินเตอร์ ยันต่างชาติยังเชื่อมั่นในตัว ธปท.แม้ขาดทุนสะสม
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.กำลังเร่งดำเนินการตามแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้าย เพื่อให้นักลงทุนไทยและบริษัทไทยนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะถือเป็นการกระจายความเสี่ยงของบริษัทไทย และเศรษฐกิจไทย เนื่องจากหากเกิดการชะลอตัวในประเทศ บริษัทไทยยังมีความมั่งคั่งที่อยู่ในต่างประเทศ และการนำเงินออกไปยังจะช่วยลดเงินทุนสำรองที่อยู่ในระดับสูงมากลงได้ด้วย โดยในปีที่ผ่านมา มีเงินทุนโดยตรงจากไทยไปลงทุนในต่างประเทศ 1.1 หมื่นล้านเหรียญฯ ขณะที่ 8 เดือนแรกของปีนี้ผมประเมินว่าเงินน่าจะออกไปแล้วประมาณ 7,000-8,000 ล้านเหรียญฯ  ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า ตามแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายของ ธปท.ยังพยายามที่จะไขก๊อกผ่อนคลายเกณฑ์ให้บริษัทและนักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ทั้งการลงทุนในหุ้นต่างชาติ ตราสารอนุพันธ์ ทั้งการเพิ่มนักลงทุนบุคคล เพิ่มประเภทตราสารหนี้ ตราสารทุนในการลงทุน และขยายวงเงินให้ออกไปได้ นอกจากนั้นยังจะผ่อนคลายเงื่อนไขการยกเลิกสัญญาการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาท แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ ความรู้ความสามารถ และมีทักษะในการดูแลความเสี่ยง และการลงทุนสินทรัพย์ของต่างประเทศของนักลงทุนไทยซึ่งยังอยู่ในวงจำกัด โดยหาก ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์และกระตุ้นให้ออกไปลงทุนต่างชาติก็ไม่ใช่ว่าจะออกไปได้ทันที แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี ก่อนจะมีความเชี่ยวชาญพอ
            ส่วนกรณีที่มีคำถามถึงความเชื่อถือของ ธปท.ของนักลงทุนต่างชาติ ที่มาจากผลขาดทุนของ ธปท.นายประสาร กล่าวว่า ธปท.ไม่ได้กังวล ในขณะนี้จากปัญหาในยุโรป และสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางในภูมิภาคนี้ขาดทุนเกือบทุกแห่ง เนื่องจากต้องดูแลเงินทุนที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ค่าเงิน 4 สกุลหลักของโลก คือ ดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร เยน และปอนด์ จะมีผลตอบแทนต่ำ แต่เมื่อยังเป็นสกุลเงินที่ทุกประเทศเชื่อถือ ทำให้ธนาคารกลางจำนวนมากยังต้องถือ 4 สกุลนี้ไว้ แต่เราก็ไม่ได้นิ่งเฉย ได้ปรับการลงทุนไปยังประเทศเกิดใหม่ที่มีผลตอบแทนสูงมากขึ้น โดยในขณะนี้เท่าที่เห็นนักลงทุนยังคงมีความมั่นใจต่อ ธปท. และหากดูทุนสำรองรวมทั้ง 2 บัญชียังเป็นบวก ไม่ได้มีปัญหาเรื่องทุนติดลบ ดังนั้น เราจึงยังทำงาน ยังดำเนินนโยบายการเงินต่อไปได้โดยได้รับความเชื่อมั่นเช่นเดียวกับการนำทุนสำรองฯ ไปลงทุนระยะยาว เช่นในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานนั้น เห็นว่ายังไม่ควรเพราะเงินทุนสำรองส่วนใหญ่มีเจ้าของมากจากการกู้ยืมต่างประเทศที่เป็นระยะสั้น สามารถไหลกลับออกไปได้ ขณะที่ธปท.ไม่มีเป้าหมาย และความสามารถในการบริหารกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติในขณะนี้
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

เซ็นทรัลซุ่มโมเดลใหม่รุกกรุงเทพฯ รับกำลังซื้อทะลักเออีซี


เซ็นทรัลรีเทล จ่อผุดโมเดลค้าปลีกใหม่ ลั่น 1-2 ปีปักหลักขยายสาขากรุงเทพฯรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 58 รับนักท่องเที่ยวทะลักเมืองไทย อัดงบ 250 ล้านบาท ปรับพื้นที่ขายเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ลุยการตลาดเจาะนักท่องเที่ยวต่างประเทศ หลังกำลังการซื้อสูง สิ้นปีรายได้ศูนย์การค้าโต 25% กวาด 700 ล้านบาท  นายเลิศวิทย์ ภูมิพิทักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล  ภูเก็ต เปิดเผยว่า ขณะนี้เซ็นทรัลรีเทล กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาโมเดลธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบใหม่ เพื่อขยายสาขาในกรุงเทพฯมากขึ้น รองรับกับปริมาณพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด และรองรับกับการเปิดเขตเศรษฐกิจประชาคมอาเซียนหรือเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ เนื่องจากจะมีผลทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าโมเดลการขยายค้าปลีกใหม่ของเซ็นทรัลจะเห็นความชัดเจนภายใน1-2 ปีนี้  ล่าสุดได้ทุ่มงบ 200 ล้านบาท ปรับพื้นที่การขายและเพิ่มจำนวนร้านค้าและร้านอาหารกว่า 30 ร้าน และเปิดท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่บริษัทจะเน้นขยายเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วน 40% แต่เป็นลูกค้าที่มีกำลังการซื้อสูงโดยเฉลี่ย 3,500-4,000 บาทต่อครั้ง ส่วนลูกค้าคนไทย60% กำลังการซื้อ 2,000-2,500 บาท  โดยพบว่าในครึ่งปีแรกมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าในจังหวัดภูเก็ตเติบโตขึ้น 12% และหลังจากปรับศูนย์ฯครึ่งปีแรกมีลูกค้าเพิ่ม 35% เป็นคนไทยโต 40% และนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 30% ในวันจันทร์-ศุกร์ มีลูกค้าหมุนเวียน 3 หมื่นราย และเสาร์-อาทิตย์ ราว 3.5-4 หมื่นราย  "แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวกลุ่มรัสเซีย จีน รวมถึงคนไทย มาเที่ยวเพิ่มขึ้น ขณะที่คนภูเก็ตก็เป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อ จากการมีรายได้มากขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกในจังหวัดภูเก็ตเติบโต 8%โดยพบว่ามีโมเดิร์นเทรด และซูเปอร์มาร์เกตขยายตัวเพิ่มขึ้น"  สำหรับงบการตลาดเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ปีนี้ได้ทุ่มงบ 50 ล้านบาท ล่าสุดจัดงานฉลองครบรอบ 8 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Under The Sea เนรมิตงานเสมือนดำดิ่งสู่ใต้ท้องทะเล สำหรับผลประกอบการปีนี้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ตั้งเป้าเติบโต 25% หรือมีรายได้ 700 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมามีรายได้ 600 ล้านบาท เติบโต 20% เนื่องจากปีนี้จังหวัดภูเก็ตมีเศรษฐกิจเติบโตดีและการวางกลยุทธ์และแผนงานการใช้งบลงทุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ที่เน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวใช้มาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น 
ที่มา : http://ecberkku.com/index.php?page=read_inside&id=1259

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เอกชนขอนแก่นผนึกตั้งบริษัทกลางรับเออีซี


             4 องค์กรหลักภาคเอกชนในจังหวัดขอนแก่น จับมือจัดตั้งบริษัทกลาง "ขอนแก่น พาวเวอร์อินเตอร์เทรด" ดำเนินกิจกรรมเชิงธุรกิจบุกตลาดเออีซี ชูแนวคิดสร้างความแกร่งให้ภาคธุรกิจ ประเดิมงานแรกเข้าร่วมงาน "หนานหนิง อาเซียน เอ็กซ์โป" วันที่ 27 ก.ย.นี้
          นายเข็มชาติ สมใจวงษ์ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดขอนแก่น ปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ หอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น ละเทศบาลนครขอนแก่น ได้ร่วมกันจัดตั้ง "ขอนแก่น พาวเวอร์อินเตอร์เทรด" ซึ่งเป็นองค์กรหรือบริษัทกลางในการบริหาร หรือดำเนินกิจกรรมในเชิงธุรกิจ เกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อรองรับตลาดประชาเศรษฐกิจอาเซียนหรือตลาดเออีซี โดยจะมีการนำเข้าสินค้าและส่งออก รวมทั้งการจดสัมปทานเดินรถโดยสารในนามของบริษัทกลาง ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา
          "ทั้งนี้ขอนแก่น พาวเวอร์ฯ จะมีบทบาทในการนำเอาโครงการที่มีประโยชน์ไปเผยแพร่เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นตัวแทนซื้อขายสินค้าตามความต้องการของลูกค้า ให้กับสมาชิกหรือที่ไม่ใช่สมาชิกใน จ.ขอนแก่นอีกด้วย โดยกิจกรรมแรกที่จะเข้าไปมีบทบาทก็คือ การเข้าร่วมงาน หนานหนิง อาเซียนเอ็กซ์โป ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ ซึ่งจะนำโครงการ 1 ไร่ 1 แสน ไปร่วมงานสาธิตสินค้า รวมทั้งการรับออเดอร์ ทำหน้าที่ทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายและจำหน่ายสินค้าเองด้วย" นายเข็มชาติกล่าว
          นายเข็มชาติ กล่าวว่า นอกจาก 4 องค์กรหลักแล้ว กำลังรอผลการอนุมัติจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และองค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่กำลังขออนุมัติจากสภาฯ เพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายเดียวกัน จากนั้นก็จะดำเนินการจดทะเบียน ตั้งคณะกรรมการคณะทำงานต่อไป
          "การที่มีสถาบันการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เพราะเราไม่ได้เน้นสินค้าเพียงอย่างเดียวแต่ได้เน้นการบริการ ซึ่งมีด้านการศึกษา การแพทย์ โดยขอนแก่นกำลังพัฒนาให้เป็นฮับทางการศึกษาและทางการแพทย์ ที่ต่อไปจะมีการต่อยอดเป็นเชิงพาณิชย์ เป็นศูนย์การเรียนรู้อินโดจีน เป็นศูนย์กลางอ้างอิงทางวิชาการ เป็นต้น จะทำให้ขอนแก่น พาวเวอร์อินเตอร์เทรด สมบูรณ์ยิ่งขึ้น" นายเข็มชาติ กล่าว ส่วนการเข้าร่วมขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นอีกองค์กรที่ถือว่า มีบทบาทสำคัญ ที่จะทำให้ประชาชน ชุมชน เข้าถึงเออีซี เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับประชาคมอาเซียนได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่ง ที่เน้นการเชื่อมผลประโยชน์ระยะยาว ไม่ใช่แค่เพื่อการลงทุนหรือค้ากำไรเท่านั้น
          ขอนแก่นพาวเวอร์ฯ มีบทบาทนำโครงการที่มีประโยชน์ไปเผยแพร่เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายสินค้า
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

ปลุก SMEs อีสาน 3 หมื่นราย'ไม้-กระจกรถ' บุกลงทุน สปป.ลาว


ภารกิจของ "กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม" ช่วงปี 2555 เป็นต้นไป กำลังเร่งขับเคลื่อนแผนพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แถบจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุดรธานี หนองคาย ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพภาคการผลิต สามารถขยายตลาดและการลงทุนเปิดสาขาใหม่เข้าไปยังเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาวได้
          นางศมน ชคัตธาดากุล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท อุดร กระจกยนต์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท อุดรกระจกรถยนต์ เป็นตัวแทนจำหน่ายกระจกรถยนต์และฟิล์มกรองแสงรายใหญ่สุดในภาคอีสาน ปีที่ผ่านมารายได้ 154 ล้านบาท เติบโต 25% จากกระจกรถยนต์ 60% และอื่นๆ 40% มา ได้แก่ ฟิล์มกรองแสง ประดับยนต์ จีพีเอส ปี 2555 ยอดขายกระจกรถยนต์จะเติบโต 2 เท่า จาก 20 เป็น 40% เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์หลังน้ำท่วม จึงเตรียมขยายในอุดรธานีและอุบลราชธานี กำลังเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา ที่ขอนแก่น ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 10 ปี จะมี 10 สาขา รวมทั้ง เป็นที่ 1 ในทุกสินค้าของภาคอีสาน
          ตั้งเป้าขึ้นอันดับ 1 ตลาดกระจกติดรถยนต์ใน สปป.ลาว ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 70% ทำรายได้ 10% ของยอดขาย วางแผนจะไปลงทุนเปิดสาขาด้วย ผลจากการเติบโตด้านโลจิสติกส์ในลาวเชื่อมโยงกับจีน และเวียดนามผ่านเวียงจันทน์ ในอนาคตลาวจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้ประกอบการต้องใช้โอกาสจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ขยายธุรกิจรับตลาดที่กว้างขึ้น และตั้งรับคู่แข่งจากต่างประเทศด้วย
          บริษัทอุดรกระจกยนต์เป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งในภาคอีสานและลาว ถ้าเปิดเออีซีจะส่งผลให้เติบโตเพิ่มขึ้นอีกปีละ 5-10% ตอนนี้จึงเข้าร่วมกับโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกับกรม มาตลอดตั้งแต่ปี 2549 สามารถปรับปรุงการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีผลให้รายได้ขยับจากปี 2549 ปัจจุบันทำได้กว่า 30 ล้านบาท
          นายกฤษฎา บุตรเจริญ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท กฤษฎา อุตสาหกรรมค้าไม้ จำกัด และประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ในฐานะผู้รับผลิตและจำหน่ายสินค้าไม้พื้นแปรรูปและเฟอร์นิเจอร์ เมื่อปี 2554 มีรายได้ 60 ล้านบาท มากที่สุดจากสินค้าประตู หน้าต่าง และไม้พื้น ส่วนมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมไม้ทั้งหมด ราวปีละ 4,000 ล้านบาท ขณะนี้ตลาดในประเทศเติบโตดีมาก ปรับจาก 80 เป็น 90% ส่วนการส่งออกในอดีต ตลาดญี่ปุ่นกับสหภาพยุโรป รวมกว่า 20% แต่การแปรรูปผลิตภัณฑ์ไม้ ต้องนำเข้าวัตถุดิบจาก สปป.ลาว ไม้ประดู่ มะค่า ไม้แดง แต่มีอุปสรรค โลจิสติกส์ล่าช้า บวกกับสัมปทานที่ไทยได้กำลังจะลดลง เพราะรัฐบาล สปป.ลาว ต้องการเพิ่มพื้นที่ป่ามากขึ้นเป็น 45% ต่อไปจะใช้วัตถุดิบจากไม้ยางพาราที่ปลูกในหนองคายและบึงกาฬเพิ่มขึ้น สำหรับต้นทุนการทำเฟอร์นิเจอร์ มาจากวัตถุดิบ 50% ค่าแรง 30% ค่าไฟฟ้า 10% กำไรสุทธิ (Margin) อยู่ที่ 5-10%
          นอกจากนี้ บริษัทยังเติบโตตามตลาดผลิตบรรจุภัณฑ์เชิงพาณิชย์เพื่อการ ส่งออก (พาเลต) โดยใช้ไม้ยางพารา ส่วนอีก 10-15 ปี เมื่อลาวเติบโต ผู้ประกอบการในหนองคายจะมีโอกาสมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนสินค้าและตัวแทนจำหน่าย เพราะอยู่ตรงข้ามกับเวียงจันทน์ การค้าขายตามแนวชายแดนปี 2556 จะทำได้ถึง 50,000 ล้านบาท เพราะลาวมีกำลังซื้อสูงขึ้นมาก แต่ธุรกิจเอสเอ็มอีในหนองคายยังไม่เติบโตเท่าที่ควร
          นายกฤษฎากล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะทำให้ผู้ประกอบการมีความรู้ทางธุรกิจ และสามารถสร้างเครือข่ายใหม่ได้เป็นอย่างดี  นายวีรนันท์ นีลดานุงวงศ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การเปิด เออีซี ทำให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นห่วงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในภาคการผลิตที่มีกว่า 300,000 ราย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้ผลิตป้อนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงได้พยายามพัฒนาผู้ประกอบการ แต่แนวโน้มไม่สามารถสร้างได้ทันทั้งหมด และยอมรับโครงการที่ทำอยู่ปัจจุบัน ยังไม่ทั่วถึงความต้องการทั้งหมด ตามแผนปีงบประมาณ 2556 ได้ของบประมาณเพิ่มอีกหลายร้อยล้านบาท มุ่งเน้นพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมรายสาขา ลำดับแรกต้องเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ
          นายวุฒิชัย ตางาม ผู้อำนวยศูนย์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 มีหน้าที่ดูแลผู้ประกอบการใน 4 จังหวัด คือเลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ และเลย อนาคตจะเพิ่มนครพนมอีกแห่ง แต่ได้รับงบฯเพียง 14 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือดูแล
ทีมา : ประชาชาติธุรกิจ 

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชี้เออีซีดันโอท็อปปรับตัวรุนแรง


 นายคณิต แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ร่วมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง พลวัตร เศรษฐกิจชนบทไทยภายใต้  AEC ในโครงการสร้างผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 3 จัดโดยสมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิสัมมาชีพ ร่วมกับเครือมติชน ที่อาคารข่าวสด เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ว่า ผลของการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 จะกระทบกับทั้งเมืองใหญ่ และชนบทไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากมีการรับรู้ที่เร็วขึ้น อีกทั้งยังเกิดการเปรียบเทียบ ส่งผลเป็นพลังให้ชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากการเลียนแบบ ไปจนถึงปรับปรุงให้ก้าวหน้า แต่ทั้งนี้จะต้องเร่งสร้างพื้นฐานความเข้มแข็งให้กับชุมชน
          "จากนี้ไปสินค้าโอท็อปจะไม่ได้ขายอยู่แค่ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี แต่จะมีโอท็อปที่พัฒนาตัวเอง จนสามารถเข้าไปขายในประเทศอาเซียนได้ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดคำถามกับโอท็อปอื่นๆ ว่าทำไมตัวเองถึงไปไม่ได้ จะทำให้เกิดการปรับปรุงตัวเองอย่างรุนแรง ส่วนสินค้าเกษตรจะเกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง การสร้างเครือข่ายเป็นสิ่งที่จำเป็น พร้อมๆ กับการปรับปรุงพันธุ์ หรือสร้างมูลค่าให้กับพืชผลทางการเกษตร การจัดเก็บรักษา และขนส่งที่มีประสิทธิภาพ"
ที่มา : ข่าวสด 

รุกหนักโครงสร้างพื้นฐานรับประชากรอาเซียน 669 ล้านคน


          "ปัจจุบันขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในภาพรวมลดลงจากอันดับที่27 เป็น30 จากการประเมินในปีที่ผ่านมาหากเทียบกับขีดการแข่งขันประเทศรอบ ๆด้านปรากฏว่าไทยจัดอยู่ในอันดับที่49 โดยประเทศมาเลเซียจัดอยู่ในอันดับที่26 อินโดนีเซียอันดับที่ 56"
          นายจารุพงศ์  เรืองสุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเปิดประเด็นในฐานะที่เป็นองค์ปาฐกบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ"เปิดแผนลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน"ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ที่โรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพมหานครโดยลงรายละอียดน่าสนใจว่า  รัฐบาลโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สนับสนุนให้แต่ละหน่วยงานสามารถยืนหยัดด้วยตนเองจากการระดมทุนภายในประเทศโดยไม่ต้องไปกู้เงินต่างประเทศมาดำเนินการจึงดำเนินการตามพ.ร.บ.การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจภายใต้งบ2.2 ล้านล้านบาทโดยการระดมทุนในต่างประเทศเป็นหลัก
          โดยรัฐบาลได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไว้ 5 ด้านด้วยกัน คือ 1.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ2. การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ 3.การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ 4.การพัฒนาระบบการประกันภัย และ5.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้การขับเคลื่อนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปตามที่กำหนดไว้
          สำหรับเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงข่ายทางบกเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับเออีซีที่ในภูมิภาคอาเซียนนั้นปัจจุบันมีประชากรรวมกันประมาณ669 ล้านคน คิดเป็น 9% ของประชากรโลกส่วนไทยมีประมาณ69 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังมีความวิตกว่าการจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้นขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายเรื่องการศึกษา ระบบขนส่ง ใบขับขี่ น้ำหนักรถบรรทุก รวมถึงมิติแห่งความคิดและจิตวิญญาณของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ร่วมกันเป็นหนึ่งได้หรือยัง
          ดันเส้นทางเชื่อมโยงเมืองหลวง 3 ประเทศ
          ดังนั้นจึงเร่งผลักดันเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศเพื่อเสริมสร้างความเป็นฮับทางการบินของภูมิภาคอีกทั้งยังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำเพื่อเป็นประตูการขนส่งของอนุภูมิภาคนี้ ส่วนทางบกในแนวอีสต์-เวสต์คอร์ริดอร์ยังต้องเร่งผลักดันโดยเฉพาะแนว 2 เส้นทางที่เชื่อมโยงเมืองหลวงของ 3 ประเทศคือฮานอย-พนมเปญ-ไทย ได้แก่เส้นทางจากโฮจิมินห์-ไซ่ง่อน-พนมเปญ มุ่งสู่ทวายและเส้นทางเมืองดานังของเวียดนาม ผ่านสุวรรณเขต-มุกดาหาร-ขอนแก่น
-แม่สอดตาก ออกสู่เมืองมะละแหม่งของพม่า อีกทั้งยังให้ความสำคัญเส้นทางเลียบทะเลผ่านปอยเปตซึ่งปี2556 จะให้เชื่อมโยงไทยผ่านเจดีย์ 3 องค์ออกสู่ประเทศพม่าโดยเร่งวางแผนจัดงบประมาณเร่งดำเนินการต่อไป
          ปัจจุบันประเทศไทยมีถนนเพื่อการขนส่งทางบกประมาณ2 แสนกิโลเมตรโดยอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมประมาณ 1 แสนกิโลเมตร ภายใต้การดำเนินการของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทในส่วนที่เหลือเป็นความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ปัจจุบันยังได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ขาดการบริหารจัดการที่ดีจึงต้องเร่งให้เห็นถึงความสำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น อีกทั้งกระทรวงคมนาคมยังมีแผนยกระดับการบริหารจัดการท่าเรือน้ำลึกทั้ง6 แห่งให้เกิดประสิทธิภาพและเร่งขยายศักยภาพ พร้อมกับมีแผนเร่งพัฒนาจุดคอขวดช่วงมอเตอร์เวย์สาย 7 ให้เพิ่มเป็น 14 ช่องและเร่งดำเนินการด้านการขยายเส้นทางรถไฟเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มอีก 6 รางเพื่อประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าออกสู่ทางทะเล
          มุ่งลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP
          นอกจากนั้นยังมุ่งลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อGDPที่ในปี2553 ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยมูลค่าประมาณ1.64 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.2 ของ GDP ต้นทุนการขนส่งสินค้ามีมูลค่าสูงถึง 47.2% หรือร้อยละ 7.2 ต่อGDP โดยกระทรวงคมนาคมรับผิดชอบต้นทุน 7.2% ต่อGDP ซึ่งปัจจุบันการขนส่งภายในประเทศยังใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลักมากกว่า82.6% ทางราง2.2% ทางชายฝั่งทะเล 5.7% ทางน้ำในประเทศ 9.5% และทางอากาศ 0.02%
          โดยได้เร่งเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางจากเดิม 2.5% ให้เป็น 5% ในกรอบเวลา 5 ปี และ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็น10% การเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางน้ำจากเดิม 15% ให้เป็น 18% กรอบเวลา 5 ปีและใน 10 ปีเพิ่มเป็น 20% พร้อมกับการปรับทางถนนให้เป็นฟีดเดอร์ และการพัฒนารถไฟทางคู่
          ส่วนเป้าหมายหลักการพัฒนาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งเพื่อที่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งให้ได้1.8 บาทต่อตันต่อกิโลเมตรการเพิ่มปริมาณผู้โดยสารในระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยโดยรวม6%โดยเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางให้ได้5% ทางน้ำ10.5%ทางชายฝั่ง 7.5% เพิ่มปริมาณผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า60 ล้านคน มูลค่าประหยัดเวลาการขนส่งไม่น้อยกว่า500 ล้านบาทต่อปี ลดความสูญเสียจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง1.5 แสนล้านบาท/ปี และการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งสินค้าในภาพรวม 900 ล้านตันต่อปี จาก 700 ล้านตันต่อปี
          ประการสำคัญยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะเบอร์1 ขององค์กรนั้นๆ เพื่อทำให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ ทางด้านการบริหารจัดการการสร้างแรงจูงใจที่จะต้องมีการประเมิน ล่าสุดยังเร่งเดินหน้าก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส2 พร้อมกับการสร้างรันเวย์ที่3 และ 4 เพิ่มซึ่งตามแผนสามารถรองรับได้100 ล้านคนต่อปี จึงต้องเริ่มวางแผนรองรับไว้ตั้งแต่วันนี้พร้อมกับการเร่งสอบถามความเห็นสายการบินต่างๆเพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดแผนพัฒนาในระยะต่อไป
          พร้อมผลักดันกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
          กระทรวงคมนาคมยังคงมุ่งเน้นการให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะ ขนคนมากกว่าขนรถด้วยระบบรางในโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ไฮสปีดเทรน 4 เส้นทางรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง มอเตอร์เวย์  5 เส้นทาง ให้เป็นไปตามโรดแมปภายในระยะเวลา 4-5  ปีข้างหน้าโดยเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านศักยภาพจราจรและยังเป็นทางเลือกในการเดินทางให้สอดคล้องกับพ.ร.บ.โลจิสติกส์โดยรัฐบาลลงทุนด้านการเวนคืน ควบคุมการจัดเก็บและบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนแล้วนำงบประมาณที่ได้กลับมาพัฒนาโครงข่ายให้ดีขึ้นหรือนำไปลงทุนในโครงการใหม่ต่อไป ส่วนรูปแบบการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวนั้นรัฐบาลมีแผนจะก่อตั้งกองทุนเพื่อนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามาร่วมลงทุนให้มากขึ้นโดยรัฐบาลรับประกันความเสี่ยง พร้อมกับการเพิ่มกำลังขยายกองทุนให้เพียงพอต่อไป
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

มข.จับมือ บ.บางกอกแล็ป ต่อยอดพริกอัคนีพิโรธสู่อุตสาหกรรมยา


    รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัขอนแก่นสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และ บริษัทบางกอกแลป แอนด์ คอสเมติก จำกัด ได้ร่วมพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ "พริกพันธุ์อัคนีพิโรธ"   โดยเป็นผลงานวิจัยคุณภาพดีอีกชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในระดับอุตสาหกรรมได้โดยตรง สำหรับพริกพันธุ์อัคนีพิโรธที่ รองศาสตราจารย์สุชีลา เตชะวงค์เสถียร คณะเกษตรศาสตร์ เป็นหัวหน้าคณะผู้วิจัยนั้น ได้เริ่มมีการรวบรวมพันธุ์พ่อแม่มาตั้งแต่ปี 2550 และเริ่มสร้างลูกผสมในปี 2553  ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับจากการสนับสนุนทุนจากหลายฝ่าย ทั้งจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  ปรับปรุงพันธุ์จนกระทั่งได้เป็นลูกผสมที่มีลักษณะดี คือ มีความเผ็ดสูงมากกว่า 500,000 สโคว์วิลล์ (SHU) อีกทั้งยังมีความทนทานต่อโรคแอนแทรกโนส ซึ่งได้ยื่นจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ต่อกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว
          ที่ผ่านมาคณะผู้วิจัยของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พริกยอดสนเข็ม 80 ขึ้น และได้อนุญาตให้บริษัทบางกอกแล็ปแอนด์ คอสเมติค จำกัด นำพันธุ์ไปปลูกเพื่อสกัดสาร capsaicin ผสมในผลิตภัณฑ์ทาบรรเทาอาการปวดเมื่อยมาแล้ว แต่คณะผู้วิจัยก็ยังพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม โดยการสร้างสายพันธุ์ลูกผสม"พริกอัคนีพิโรธ" ซึ่งมีสาร capsaicin ที่สูงมากกว่าพริกยอดสนเข็ม 80 ถึง 10 เท่า ซึ่งผลงานชิ้นที่สองนี้ได้ให้สิทธิแก่บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์คออสเมติค จำกัด นำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทาบรรเทาอาการปวดเมื่อยอีกเช่นเดียวกัน นับว่าเป็นผลสำเร็จในอีกขั้นหนึ่งของการเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้ทุน คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลงานวิจัย และบริษัทซึ่งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย
          อธิการบดี ม.ขอนแก่น กล่าวอีกว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นได้วางเป้าหมาย มุ่งสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นเลิศ ด้านการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่สร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์โดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยนอกจากนี้ มหาวิทยาลัยได้สร้างระบบพัฒนาขีดความสามารถของนักวิจัย คู่ขนานไปกับการสร้างทรัพยากรเพื่อรองรับการพัฒนางานวิจัยซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การบริการงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
          ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.สุชีลา เตชะวงค์เสถียร หัวหน้าคณะผู้วิจัย ได้กล่าวถึง การพัฒนาพันธุ์พริกเผ็ดของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและแนะนำพริกพันธุ์อัคนีพิโรธ ว่า สารเผ็ดของพริกหรือแคปไซซิน (Capsaicin) มีสรรพคุณกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นการขับเสมหะทำให้หายใจสะดวกขึ้น และยังมีส่วนช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้ จึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในทางยาและเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตามพริกที่ชาวบ้านปลูกทั่วไปนั้นมีความเผ็ดไม่คงที่อีกทั้งผลผลิตต่ำ จึงได้พัฒนาพันธุ์พริกให้มีความเผ็ดและผลผลิตสูงขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยา และได้พริกพันธุ์"ยอดสนเข็ม 80" ที่มีความเผ็ดสูงและคงที่ 80,000 สโคว์วิลล์ (SHU) มีผลผลิตประมาณ 3,000 กก./ไร่ ซึ่งได้มีการลงนามอนุญาตให้บริษัท บางกอกแล็ปแอนด์ คอสเมติค จำกัด นำไปใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการปวดเมื่อยไปเมื่อปี 2552
          สำหรับ พริกลูกผสม "อัคนีพิโรธ"  ที่เกิดจากพริกพันธุ์พิโรธ (Bhut Jolokia) ซึ่งเป็นพริกที่มีรายงานว่าเผ็ดที่สุดในโลกพันธุ์หนึ่ง โดยพริกลูกผสม"อัคนีพิโรธ" เป็นพืชกึ่งยืนต้น สามารถเก็บเกี่ยวได้หลายฤดู มีความเผ็ดสูงเป็น 10 เท่าของพริกจินดามากกว่า 500,000 สโคว์วิลล์ (SHU) มีผลผลิตพริกสดสูงประมาณ 3,600 กก./ไร่ (เก็บเกี่ยว 4 ครั้ง) หรือพริกแห้งของพันธุ์อัคนีพิโรธประมาณ 32 กิโลกรัม ให้ผลผลิตสารเผ็ดประมาณ 1 กิโลกรัมต่างจากพริกพันธุ์จินดา ที่ต้องใช้พริกแห้งถึง 616 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังสามารถปรับตัวได้ดีกว่าและให้ผลผลิตสูงกว่าพริกพิโรธพันธุ์เดิม รวมทั้งทนทานต่อโรคแอนแทรกโนส ขณะนี้บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด ได้นำตัวอย่างพริกแห้ง"อัคนีพิโรธ" ไปทดลองพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการปวดเมื่อยในสูตรใหม่ และจะได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนตำรับยาต่อไป
ที่มา พิมพ์ไทย 

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กรมธนารักษ์เดินหน้าเตรียมความพร้อมสู่ AEC


             กรมธนารักษ์เดินหน้าเตรียมความพร้อมสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community:AEC) โดยเริ่มสำรวจแปลงที่ดินราชพัสดุตามแนวเส้นทาง East - West Corridorในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดเศรษฐกิจ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลกและอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
          นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์เดินหน้าเตรียมความพร้อมสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) โดยเริ่มสำรวจแปลงที่ดินราชพัสดุตามแนวเส้นทาง East - West Corridor ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดเศรษฐกิจได้แก่ จังหวัดขอนแก่น
 จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอแม่สอด จังหวัดตากพบมีจำนวนทั้งสิ้น 529 แปลง ซึ่งมีแปลงที่ดินราชพัสดุที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นโครงการเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความเจริญจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาคต่างๆ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนระบบ Logistics และการท่องเที่ยวได้ จำนวน 13 แปลง ทั้งนี้ จังหวัดขอนแก่นได้ดำเนินโครงการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจำนวน 3 แปลงจำนวน 4 โครงการ
          นายนริศ กล่าวต่ออีกว่า กรมธนารักษ์ยังได้พิจารณาศักยภาพที่ดินที่มีความเหมาะสมจำนวน 10 แปลง ในการพัฒนาโครงการรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจำนวน 4 โครงการ นำเสนอแก่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจการพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภาและอนุกรรมาธิการติดตามการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองรับระเบียงเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในโอกาสเดินทางเข้าพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารของกรมธนารักษ์เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้กับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการใช้พื้นที่ราชพัสดุตามแนวเส้นทาง EastWest Corridor ในพื้นที่จังหวัด
ขอนแก่น จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
          นายนริศ กล่าวในตอนท้ายอีกว่า หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะใช้พื้นที่ราชพัสดุนี้เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรมธนารักษ์ก็จะสนับสนุนนโยบายโดยการขอคืนพื้นที่จากส่วนราชการผู้ครอบครองใช้ประโยชน์นำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศต่อไป
ที่มา : พิมพ์ไทย