วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมืองไทยทุ่ม 190 ล.ขยายสาขาย่อย


          นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยประมาณ 30% ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทตั้งเป้าหมายในการขยายช่องทางการจำหน่ายให้มีความเติบโตทุกช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องทางของพันธมิตรคู่ค้ากับบริษัทช่องทางสาขาย่อย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 16 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ หาดใหญ่ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก นครสวรรค์ นครราชสีมา บุรีรัมย์ หัวหิน ภูเก็ต สมุทรสงคราม เชียงราย สกลนคร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสระบุรี บริษัทฯ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างและตกแต่งรวมทั้งค่าบริการจัดการสาขาย่อยทั้ง 16 แห่ง ประมาณ 190 ล้านบาท
          ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว ปรับปรุงการบริการให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า และช่องทางการขายที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการขยายขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการ เพื่อให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ สร้างสรรค์ให้ประชาชนได้รับประโยชน์ในการมาติดต่อกับบริษัทฯ และได้รับความประทับใจไม่เสื่อมคลาย โดยสาขาย่อยที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการให้บริการลูกค้าในแต่ละพื้นที่นั้น พร้อมให้บริการลูกค้าอย่างรู้ใจ ตรงตามความคาดหวัง ตอบสนองความต้องการได้อย่างครบวงจร
          "ช่องทางธุรกิจตัวแทนในปีนี้ บริษัทได้มีตัวแทนรายเดี่ยวที่มีศักยภาพในการให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 250 ราย นอกจากนั้น บริษัทได้มีตัวแทนที่ตั้งเป็นสำนักงานตัวแทนอีก 350 ราย อยู่ทั่วทุกภูมิภาค สำนักงานตัวแทนจะเป็นจุดให้บริการแก่ลูกค้าในด้านต่างๆ อย่างครบถ้วน และทิศทางเป้าหมายของบริษัท ในปี 2556 บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์ในการขยายตลาดคือ การขยายช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้น เพื่อเข้าสู่กลุ่มลูกค้ารายใหม่ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับพื้นที่ภาคใต้เป็นภาคที่บริษัทมีการเติบโตค่อนข้างมากในแผนงาน จะเริ่มขยายงานลงระดับท้องที่ต่างๆ ให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น" นางนวลพรรณ กล่าว
ที่มา : บ้านเมือง

บิ๊กอสังหาฯ ปรับทิศธุรกิจปี 56 โหมชิงเค้กตลาดภูธร


            ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่หันไปพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดมากขึ้น เริ่มจากหัวเมืองหลักในภูมิภาคต่างๆ จากเดิมที่ลงทุนเฉพาะเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งทิศทางการลงทุนเช่นนี้จะขยายตัวต่อเนื่องออกไปอีกมาก เนื่องจากตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลขนาดเริ่มเล็กลงเมื่อเทียบกับความต้องการเติบโตทุกปีของผู้ประกอบการรายใหญ่
          เป้าหมายของบิ๊กอสังหาฯในตลาดนอกจากต้องการขยายการเติบโตของธุรกิจแล้ว ยังกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้อีกด้วย  สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เพิ่มพอร์ตการลงทุนในต่างจังหวัด อาทิ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นรายแรกๆที่ขยายการลงทุนไปยังต่างจังหวัดที่ไม่ใช่หัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยศุภาลัยได้ลงทุนผ่านบริษัทลูก เช่น บริษัท หาดใหญ่นครินทร์ จำกัด ลง ทุนในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และบริษัท ศุภาลัยอิสาน จำกัด พัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัด
ขอนแก่นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา กระทั่งในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ ศุภาลัยได้ขยายการลงทุนออกไปยังหัวเมืองอื่นๆมากขึ้น อาทิ สระบุรี และเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต, เชียงใหม่, ชลบุรี ล่าสุดมีแผนขยายการลงทุนต่อไปที่อุดรธานี, ระยอง, สุราษฎร์ธานี และนครราชสีมา
          ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ขยายการลงทุนไปยังต่างจังหวัดรายอื่นๆ เช่น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ลงทุนในจังหวัดนครราชสีมา, 
ขอนแก่น เน้นบ้านเดี่ยวเป็นหลัง ส่วนจังหวัดเชียงใหม่มีทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม นอกจากนี้แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังมีแผนขยายการลงทุนไปยังจังหวัดใหม่ๆ โดยให้ความสนใจภาคเหนือและภาคอีสานเป็นหลัก ล่าสุดได้ซื้อที่ดินในจังหวัดอุดรธานีแล้ว 2 แปลง คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปี 2556 และกำลังศึกษาตลาดในจังหวัดเชียงรายอีกด้วย
          ขณะที่บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้ลงทุนในตลาดต่างจังหวัดมาก่อนหน้านี้แล้วหลายจังหวัด ทั้งระยอง, เพชรบุรี, ชลบุรี, เชียงใหม่ และยังมีอีกหลายจัง- หวัดที่มีศักยภาพที่อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายการลงทุนด้วย อาทิ สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต, สงขลา, อุบลราชธานี, อุดรธานี เป็นต้น โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงด้านการลงทุน นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าบริษัทกว้านซื้อที่ดินหลายแปลงในหัวหินและพื้นที่ใกล้เคียง
          บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีแผนลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลหัวเมืองต่างจังหวัด 15 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาทในช่วงปลายปี 2555 หรือคิดเป็น 22% ของพอร์ต ประกอบคิดเป็น 22% ของพอร์ต ประกอบด้วยหัวหิน 6 โครงการ มูลค่า 3,550 ล้านบาท, ภูเก็ต 5 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท, เขาใหญ่ 2 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท, 
ขอนแก่น 1 โครงการ มูลค่า 630 ล้านบาท และพัทยา 1 โครงการ มูลค่า 1,900 ล้านบาท มูลค่า 1,900 ล้านบาท
          ขณะที่บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ มีแผนลงทุนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดครบทุกประเภท ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบ คอนโดมิเนียม และสำนักงานให้เช่า โดยเฉพาะแผนเปิดตัวนิคมอุตสาหกรรมที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พื้นที่กว่า 3,300 ไร่ แผนการลงทุนในต่างจังหวัดของซี.พี.แลนด์แบ่งเป็น 5 โซนด้วยกัน ประกอบด้วย โซนภาคเหนือตอนบนคือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง โซนภาคเหนือตอนล่างคือ พิษณุโลก นครสวรรค์ โซนภาคอีสานคือ 
ขอนแก่น อุดรธานี มหา- สารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ หนองคาย นครพนม มุกดาหาร โซนภาคตะวันออกคือ ชลบุรี ระยอง และสุดท้ายโซนภาคใต้คือ นครศรีธรรมราช, สงขลา, สุราษฎร์ธานี และ ภูเก็ต
          ด้านเจ้าตลาดอย่างบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหา ชน) นอกจากลงทุนในต่างประเทศแล้วยังให้ความสำคัญกับการลง ทุนในต่างจังหวัด อาทิ พระนคร ศรีอยุธยา, ชลบุรี, 
ขอนแก่น ภูเก็ต เป็นต้น
          สำหรับบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) มีแผนจะซื้อที่ดิน 300 ไร่ บริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 10,000 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ซึ่งเริ่มพัฒนาในปลายปีนี้ โดยจะแบ่งเนื้อ ที่กว่า 100 ไร่ ทำโครงการสวนน้ำให้บริการนักท่องเที่ยว และพลาซ่าเพื่อปล่อยเช่าภายใต้ชื่อ "The Grand Kingdom" คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณไตรมาส 3 ปี 2558
          ปี 2556 จึงเป็นปีที่ตลาดอสังหาฯในภูมิภาคจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงทั้งระหว่างรายใหญ่ ในตลาดด้วยกันและผู้ประกอบการอสังหาฯในพื้นที่เดิม ซึ่งมีหลายตัวแปรที่จะชี้วัดความสำเร็จในตลาดนี้ เช่น ต้นทุนการผลิตและการขนส่ง แบรนด์สินค้า รวมถึงสายป่านในการดำเนินธุรกิจ ฯลฯ
ที่มา : โลกวันนี้

แนะ11ข้อไทยรองรับ'เออีซี'


            เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่รัฐสภา นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาเตรียมความพร้อมและการปรับตัวของประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่ากมธ.ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าทำรายงานโดยรวบรวมความเห็นและข้อเสนอแนะจากองค์กรภาครัฐและเอกชน โดยวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ของรายภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมพร้อมข้อเสนอแนะและมาตรการเร่งด่วนเพื่อเตรียมความพร้อมประเทศไทย 11 ข้อ เสนอประธานรัฐสภา เพื่อส่งให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป
          นายอภิรักษ์กล่าวว่า ข้อเสนอ 11 ข้อคือ1.จัดตั้งหน่วยงานอาเซียนเซ็นเตอร์ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวบรวมข้อมูลและการสนับสนุนผู้ประกอบการ 2.มาตรการรองรับผลกระทบ และความช่วยเหลือ ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร3.สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถ ภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี4.มาตรการส่งเสริม พัฒนาบุคลากรในอุตสาห กรรมการท่องเที่ยวและบริการ5.เตรียมความพร้อมแรงงานวิชาชีพ 7 สาขาและพัฒนาทักษะฝีมือ ตลอดจนมาตรฐานแรงงานไทย
          นายอภิรักษ์กล่าวว่า 6.สนับสนุนภาคการเงิน การลงทุน และการสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาตลาดทุนในอาเซียน 7.เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเชื่อมโยงประเทศในกลุ่มอาเซียน 8.พัฒนาเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจใหม่ในแต่ละภูมิภาค เช่น เชียงใหม่  พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี ชลบุรี กาญจนบุรี ภูเก็ตอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  9.เร่งปรับปรุงกฎหมายและขั้นตอนพิธีการทางศุลกากร 10.สนับสนุน ส่งเสริมการศึกษา ภาษาอังกฤษตลอดจนการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียน 11.จัดงานมหกรรมอาเซียนเอ็กซ์โป เพื่อส่งเสริม เผยแพร่วัฒนธรรม และโอกาสทางการค้า การลงทุนของประเทศอาเซียนกับประชาคมโลก
ที่มา : มติชน

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มข.เฉียบผลิตเบนซินจากน้ำมันปาล์ม


 ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) และคณะ แถลงว่า นักวิจัยของ มข.สามารถผลิตน้ำมันเบนซินจากน้ำมันปาล์มได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก ซึ่งได้ทดลองใช้กับรถยนต์แล้ว ขั้นต่อไปจะผลิตเป็นน้ำมันไบโอเจ็ตสำหรับใช้กับเครื่องบิน โดยขณะนี้ได้รับการประสานงานจากกลุ่มบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่หลายบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศต้องการเข้ามาศึกษาและขอจดลิขสิทธิ์
ที่มา : M2F

สหกรณ์ขอนแก่นผ่านเกณฑ์รับรางวัล


นายอนันต์  มหัจฉริยพันธุ์  สหกรณ์จังหวัดขอนแก่น  เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำนักงานสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นได้ถือเรื่องการแนะนำธรรมาภิบาลในสหกรณ์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งได้นำเรื่องธรรมภิบาลหรือการบริหารกิจการบ้านเมือง และสังคมที่ดี มีสาระสำคัญประกอบด้วย หลักพื้นฐาน 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า จำนวน 42 ข้อย่อย ไปแนะนำให้กับสหกรณ์ต่าง ๆ ในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 152 สหกรณ์ ได้นำหลักธรรมภิบาลไปปฏิบัติใช้ในสหกรณ์ 
          โดยมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์เข้าไปแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการตั้งคณะทำงานประเมินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อยกย่องสหกรณ์ที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสหกรณ์ที่ดี ผลของการประเมินปรากฏว่า สหกรณ์ส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับดีมาก และได้จัดทำโล่ประกาศเกียรติคุณเพื่อยกย่อง และเป็นแบบอย่างให้กับสหกรณ์ที่มีคะแนนประเมินใน 5 ลำดับแรก ประกอบด้วย 1. สหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นจำกัด 2. สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัขอนแก่น  จำกัด 3. สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนท่าพระ จำกัด 4. สหกรณ์การเกษตรหนองหวาย จำกัด 5. สหกรณ์การเกษตรหนองเรือ จำกัด และผู้แทนของสหกรณ์ได้เข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณจากผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ในที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันก่อน.
ที่มา : เดลินิวส์

งานออกพรรษาบึงแก่นนครคึกคัก


            เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าฯขอนแก่น กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26-31 ต.ค. ที่ผ่านมา ทางจังหวัด ร่วมกับนายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น และนายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ นายก อบจ.ขอนแก่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จ.ขอนแก่น ได้จัดงาน "ประเพณีออกพรรษา ไต้ประทีปโคมไฟ และวิถีอีสาน" บริเวณสวนสาธารณะ 200 ปี บึงแก่นนคร เทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งการจัดงานครั้งนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ตระการตา มีกิจกรรมมากมาย อาทิ ประกวดฮ้านประทีป เป็นหิ้งบูชากลางแจ้ง จุดประดับด้วยไฟประทีป เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในช่วงออกพรรษาของชาวอีสาน อีกทั้งยังมีประกวดกระทงประทีป พิธีกวนข้าวทิพย์ การแสดงศิลปวัฒนธรรม และดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งจะเน้นวิถีอีสานเป็นหลักใหญ่
          นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า งานประเพณีออกพรรษา ไต้ประทีปโคมไฟและวิถีอีสาน เป็นการส่งเสริมอนุรักษ์ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น โดยแนวคิดการลอยกระทงหรือลอยประทีปโคมไฟในวันออกพรรษาตามความเชื่อที่มีมาแต่ครั้งโบราณ เพื่อเป็นการบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโอกาสเสด็จกลับจากเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นอกจากนี้เทศบาลนครขอนแก่นยังฟื้นฟูประเพณี ฮ้านประทีป และประเพณีกวนข้าวทิพย์ ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่ได้ปฏิบัติมา กิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะอนุรักษ์ส่งเสริม ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่สืบไปแล้ว ยังส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเสนอแนะของประชาชนชาวขอนแก่นกับ
          เทศบาลนครขอนแก่นที่เป็นคณะผู้จัดงานที่จะนำเสนอกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักและสนใจแก่นักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดขอนแก่นด้านนายธีระศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการร่วมฟื้นฟูวัฒนธรรมอีสานไม่ให้เลือนหายไปกับความเจริญทางด้านวัตถุในปัจจุบัน เทศบาลนครขอนแก่นจึงได้จัดงานประเพณีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นประจำทุกปี และสำเร็จลุล่วงเนื่องจากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนของทุกภาคส่วนใน จ.ขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น อีกทั้งประชาชน และนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาเที่ยวชมงานกันอย่างคึกคัก ซึ่งจะต้องจัดงานประเพณีออกพรรษา ไต้ประทีปโคมไฟ และวิถีอีสานขึ้นทุกปี และยิ่งใหญ่อลังการ คงความเป็นลูกอีสานไว้เพื่อให้คงอยู่สืบไป.
ที่มา : เดลินิวส์ 

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หนุนแบ่งงบ 2.2 ล้านล้านๆ สร้างรถไฟทางคู่ทั้งระบบ


                "ชัชชาติ"ว่าที่รมว.คมนาคมคนใหม่ หนุนแบ่งใช้งบ 2.2 ล้านล้านบาทจากงบการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างรถไฟทางคู่ยกชุดเร่งปลุกอนาคตประเทศไทยด้วยรถไฟความ เร็วสูง พร้อมปรับโหมดการขนส่งจากถนนสู่ระบบราง-ทางน้ำเพิ่มขึ้น
          ดร.ชัชชาติ  สิทธิพันธุ์ ว่าที่รัฐ มนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในงานเสวนาเรื่องจัดทัพปรับกลยุทธ์รับ AEC 2558  ที่จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัยว่า มีแนวคิดเสนอให้รัฐบาลใช้งบส่วนหนึ่งในจำนวน 2.2 ล้านล้านบาทจากงบการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อนำไปก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ทั้งระบบตามแผนที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดยเห็นว่างบประ มาณดังกล่าวสามารถจัดหาได้จากสถาบันการเงินในประเทศ ที่ปัจจุบันมีสภาพคล่องอย่างมาก
          โดยเล็งเห็นว่าหากสามารถก่อ สร้างรถไฟทางคู่ให้แล้วเสร็จทีเดียวได้ครบทั้งหมด น่าจะช่วยให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าได้รับประโยชน์มากกว่าที่จะก่อสร้างทีละโครงการ แม้จะได้รับอนุมัติกรอบวงเงินประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาทมาตั้งแต่ปี 2553 แต่จนถึงขณะนี้พบว่าแต่ละโครงการยังไม่มีการประกวดราคา
          สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง มีดังนี้คือ 1. ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท  2.มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 132 กิโลเมตร วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท 3.ชุมทางถนนจิระ-
ขอนแก่น 185 กิโลเมตร วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท  4.นครปฐม-ชุมทางหนองปลาดุก-หัวหิน 165 กิโลเมตร วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท 5.ประจวบคีรีขันธ์ชุมพร 167 กิโลเมตร วงเงิน 1.4  หมื่นล้านบาท และ 6.ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท
          ดร.ชัชชาติกล่าวอีกว่านอกจากนั้นยังมีแนวคิดที่จะเร่งปลุกอนาคตประเทศไทยด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงตามที่มีแผนกำหนดไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดคาดว่าจะประกวดราคาได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีหน้าเพื่อให้ลงพื้นที่ก่อสร้างได้ในปี 2557 ซึ่งหากสามารถเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านได้น่าจะเกิดผลดีเพื่อเป็นประตูการค้า ดังนั้นจึงต้องเร่งปรับโหมดการเดินทางและขนส่งสินค้าจากทางรถยนต์มาสู่ทางรถไฟและทางเรือให้มากขึ้น อีกทั้งจะต้องเร่งรัดโครงการรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์เชื่อมระหว่าง 2 สนามบินให้เกิดโดยเร็ว ส่วนประตูการค้าผ่านแหลมฉบังสำหรับเฟสที่ 3 วงเงินประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาทนั้นยังต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว"
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ว.ปกครองท้องถิ่นมข.ร่วมเอกชนลาว ตั้งวิทยาเขตเวียงจันทน์พัฒนาบุคลากรควบเศรษฐกิจ


รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ คณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่า จากการเจรจาว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกับกลุ่มพง สะหวัน ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อเร็วๆ นี้ คณะผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการจะพัฒนาบุคลากรของพนักงานและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ โดยในชั้นต้นวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่นจะจัดการฝึกอบรมให้กับพนักงานใหม่ของธนาคารพงสะหวัน ชุดแรก 100 คน ที่นครหลวงเวียงจันทน์ และจัดทำหลักสูตรพัฒนาบุคลากร ของพนักงานในเครือกลุ่มพงสะหวันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายการบินลาวเซ็นทรัลแอร์ไลน์ ธนาคารพงสะหวัน และกลุ่มบริษัทต่างๆ เพื่อให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปตามมาตรฐานสากล และเพิ่มทักษะในการประกอบวิชาชีพ รวมไปถึงหลักการบริหารและพัฒนาตามแต่ละประเภทและหน้าที่ในการ ปฏิบัติงาน
          รศ.ดร.ศุภวัฒนากรกล่าวว่า การลงนามความร่วมมือ ดังกล่าวนำมาสู่แผนแม่บทและต้นแบบของการทำงานร่วมกันทางด้านวิชาการและการพัฒนา ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนชาวลาวได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลและวงการศึกษาจากแผนการฝึกอบรมที่วิทยาลัย จะเริ่มทำทันที ซึ่งในขณะนี้กลุ่มพงสะหวันได้จัดเตรียมสถานที่จัดตั้งเป็นวิทยาเขตนครหลวงเวียงจันทน์ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารพงสะหวัน หลัก 7 โดยวิทยาลัย จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ประจำและทำงานร่วมกับธนาคารในภาพรวม ส่วนการจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานใหม่ ของธนาคารวิทยาลัยจะกำหนดแผนและหลักสูตรความ เป็นผู้นำและการให้บริการควบคู่ไปกับเรื่องเศรษฐกิจ หลักเศรษฐศาสตร์การเงิน การค้าและการลงทุน
          "คณะผู้บริหารของกลุ่มพงสะหวันยังสนใจและจัดทำการศึกษาเพื่อจัดส่งบุคลากรในระดับบริหารและหัวหน้าพนักงานเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ โดยเป็นทุนประจำทุกปี ซึ่งจะทำการเรียนการสอนทั้งที่นครหลวงเวียงจันทน์และวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและมีกิจกรรมร่วมกันจนนำไปสู่การพัฒนา ที่เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มพงสะหวันและสอดรับ กับนโยบายและวิสัยทัศน์ของวิทยาลัย" คณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มข. กล่าว
ที่มา : ข่าวสด

อีสานบนไตรมาส 3 ชะลอตัว-พลังงานลงทุนสูงสุด


บีโอไอ ขอนแก่น เผยไตรมาส 3 ภาวการณ์การลงทุนชะลอตัว มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริม 15 โครงการ มูลค่าร่วม 3,102.70 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสูงสุด 8 โครงการ ขณะที่ไตรมาส 4 เชื่อยังคงทรงตัว เหตุสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและเกิดวิกฤติการเงินในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
          ขอนแก่น/ น.ส.รัตนวิมล นารี ศุกรีเขตร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 จังหวัดขอนแก่น หรือบีโอไอ ขอนแก่นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยถึงการส่งเสริมการลงทุนไตรมาส 3 ของปี 2555 ว่า สถานการณ์การลงทุนชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3,102.70 ล้านบาท
          โดยกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้รับการอนุมัติสูงสุด 8 โครงการ เงินลงทุน 1,869.30 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 116 คน จัดเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ เงินลงทุน 514.50 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 38 คน และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล 3 โครงการ เงินลงทุน 1,354.80 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 78 คน
          โครงการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี 3 โครงการ เงินลงทุน 1,373.00 ล้านบาท, จังหวัดขอนแก่น 2 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 302.00 ล้านบาท, จังหวัดสกลนคร 2 โครงการ เงินลงทุน 177.80 ล้านบาท, จังหวัดร้อยเอ็ด 1 โครงการ เงินลงทุน 16.50 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าการลงทุนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่ก็สามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้
          ดังเช่นบริษัท วายมายนิ่ง จำกัด ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 50 กิโลวัตต์ ตั้งโครงการในจังหวัดร้อยเอ็ด มูลค่าการลงทุน 16.50 ล้านบาท ได้รับสิทธิและประโยชน์สูงสุดเพราะเป็นกิจการที่รัฐให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี โดยไม่กำหนดสัดส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล และส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Adder) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เท่ากับการลงทุนขนาดใหญ่
          นอกจากนี้ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 ได้กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 4 นี้ คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับใกล้เคียงไตรมาสที่ 3 ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว วิกฤติการเงินในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป และการใช้มาตรการ QE3 ซึ่งเป็นมาตรการผ่อนคลายเศรษฐกิจเชิงปริมาณรอบที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้คนอเมริกัน
          แต่ผลที่ได้รับกลับดูเหมือนว่าภาคการเงิน การธนาคาร ตลาดหุ้นน่าจะได้รับผลประโยชน์จากมาตรการนี้มากกว่า ซึ่งขณะนี้ส่งผลให้มีเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัว คาดว่าน่าจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม โอกาสของนักลงทุนที่ต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรจึงเป็นไปได้สูง ผนวกกับขณะนี้เป็นฤดูน้ำหลากในประเทศไทยนักลงทุนต่างเฝ้าระวังการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ตั้งโรงงาน
          จึงคาดว่าการลงทุนจะชะลอตัวออกไปจนกว่าจะผ่านพ้นฤดูกาลดังกล่าว สำหรับอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในกิจการผลิตพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมเกษตร
ที่มา : บ้านเมือง 

'ทีเอส'ลั่นขึ้น1 ใน 3 ผู้ผลิตแป้งสาลี ขยายฐานลูกค้ารายเล็ก


          นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตแป้งสาลีในเครือบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2556 บริษัทเตรียมขยายการลงทุน 550 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแป้งสาลีเป็นวันละ 500 ตัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตที่ 250 ตัน ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทเป็นผู้ผลิตแป้งข้าวสาลีรายใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของไทย ในขณะที่แผนการตลาด บริษัทจะขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กมากขึ้น จากเดิมที่เน้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นหลัก รวมถึงจะกระจายสินค้าไปยังตลาดในต่างจังหวัดครอบคลุมภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงภาคใต้ด้วย จากเดิมที่เน้นฐานให้กับลูกค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก
          อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนดังกล่าวส่วนหนึ่งจะมาจากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกจำนวน 85 ล้านหุ้นในเดือนพ.ย.นี้ ในขณะที่เงินจากการขายหุ้นอีกส่วนหนึ่งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
          สำหรับภาพรวมในปี 2555 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปี 2554 ที่อยู่ในระดับ 18.2% และหลังจากที่บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตแป้งสาลีแล้วเสร็จ คาดว่าจะทำให้รายได้และกำไรในปี 2557 ของบริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัว เนื่องจากต้นทุนลดลง
          ขณะเดียวกันจะขยายตลาดไปยังพื้นที่ที่ยังเข้าไม่ถึง และมีโอกาสขยายปริมาณขายให้กับลูกค้ามากขึ้น หลังมีการขยายกำลังการผลิต จากปัจจุบันที่ควบคุมปริมาณการขายที่ 30% ต่อราย และหลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ใน ปี 2558 บริษัทมีแผนจะส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยบริษัทได้เริ่มเจรจากับเอเยนต์หลายรายในต่างประเทศแล้ว
ที่มา : ข่าวสด

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มข.ขานรับประชาคมอาเซียนกำหนดเปิดเทอมให้เป็นแบบสากล


              .ดร.เด่นพงษ์ สุดภักดี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงการเปิดภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อขานรับมติที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ให้ตรงกันทั้งประชาคมอาเซียน ว่า การเปิดภาคการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในอาเซียน จะมีการเปิดให้ตรงหรือ ใกล้เคียงกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของอาเซียนที่ยังไม่เปลี่ยนช่วงเวลาเปิดภาคการศึกษาให้ตรงกัน จากเดิมการเปิด-ปิดภาคการศึกษาในประเทศไทยใช้การอิงกับฤดูกาลที่เป็นปัญหาในการคมนาคมที่ไม่สะดวกของผู้เรียนและผู้สอน แต่ในปัจจุบันการคมนาคมไม่เป็นปัญหาอีก ต่อไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงมีแนวคิดการเปิดภาคการศึกษาให้ตรงกันทั้งอาเซียน ซึ่งจะเกิดผลดีต่อผู้เรียน โดยมีกำหนดการดำเนินการจัดการเรียนการสอนในช่วงระยะเวลาพร้อมๆ กัน กับประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้ ยกตัวอย่างนักศึกษาวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยขอนแก่น หากจัดการเรียนการสอนไม่ตรงกันกับมหาวิทยาลัยในอาเซียน เช่น ประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จะทำให้เราจัดการเรียนการสอนร่วมกัน ไม่ได้ เวลาเปิดเทอมก็จะไม่ตรงกัน ทั้ง การเดินทางไปหากัน การใช้ชีวิต หรือ การเรียนการสอนโดยใช้ระบบออนไลน์ หรือระบบไอทีก็เป็นเรื่องยาก อันเป็นที่มาแห่งมติที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ในการประชุมสามัญ ทปอ.ครั้งที่ 6/2554 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ให้เปิดและปิดภาคเรียนแบบสากล  โดยปรับการจัดการเรียนการสอนให้ใกล้เคียงหรือตรงกันทั้งประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเข้าเป็นประชาคมอาเซียนปี 2558
          ผศ.ดร.เด่นพงษ์ สุดภักดี กล่าว ต่อไปว่า มหาวิทยาลัขอนแก่น จะเปิดภาคการศึกษาแรกในวันที่ 18 สิงหาคม 2557 จะปิดภาคฯแรกในช่วงปีใหม่ เทอมสอง เปิดกลางเดือนมกราคม-เดือนพฤษภาคม และการศึกษาระดับอุดมศึกษาในภาค ฤดูร้อนจะเปลี่ยนเป็นภาคการศึกษา พิเศษ ส่วนการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือระดับมัธยมศึกษายังไม่เปลี่ยน ซึ่งจะเป็นข้อดีสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 เดิม สอบเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ในช่วงกลางภาคปลาย ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเวลาเรียนไม่พอ แต่ต่อไปการทดสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา จะมีขึ้น ในช่วงใกล้ปิดภาคปลายหรือหลังภาคปลาย ของมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีข้อดี คือจะทำให้เด็กนักเรียนมัธยมปลายมีช่วงเวลาปิดเรียนนานกว่าปกติ เกือบปิดภาคปลาย ช่วย แก้ปัญหาเวลาเรียนไม่พอในภาคปลายได้
          ทั้งนี้ ในปีแรกอาจมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง แต่นับว่าเป็นเรื่องท้าทาย และถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะว่าการ เปิดเทอมนี้นอกจากปรับให้ตรงกับอาเซียนแล้ว แต่ยังปรับให้ตรงกับประเทศในแถบยุโรปด้วย เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ซึ่งเปิดภาคเรียนในเดือนสิงหาคมเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นข้อดีทุกมหาวิทยาลัย มีเวลาในการเตรียมความพร้อมนักศึกษาน้องใหม่ก่อนเข้าสู่มหาวิทยาลัย เปลี่ยนชีวิตจากนุ่งขาสั้นเป็นขายาว จากเด็กมัธยมเป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษา จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ โดยจัดให้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องภาษา มีความเป็นนานาชาติมากขึ้น กิจกรรมของรุ่นพี่พบกับรุ่นน้องก็จะเกิดขึ้น ก่อนเปิดเทอม จะทำให้นักศึกษาน้องใหม่ไม่เสียเวลาเรียนในเทอมต้นของระดับอุดมศึกษาอีกต่อไป
ที่มา : แนวหน้า 


ตลาดมอ'ไซค์ได้อานิสงส์จำนำข้าว คาดทั้งปีทุบสถิติ2.15ล้านคัน ฮอนด้าลุย'เรดแชมเปี้ยน'ปี2


          นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศเดือนกันยายนที่ผ่านมาจะลดลงเล็กน้อยประมาณ 1% ถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงหน้าฝนของทุกปี แต่ยอดขายทั้งปีคาดว่าจะปิดยอดไม่ต่ำกว่า 2.15 ล้านคัน นับเป็นสถิติยอดขายให้ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มียอดขาย 2 ล้าน 7 พันคัน ตัวเลขคาดการณ์ของปีนี้เป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลทั้งการปรับค่าแรง 300 บาท และโครงการรับจำนำข้าวก็มีส่วน เพราะทำให้ลูกค้ามีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
          นายสุชาติกล่าวว่า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าในฐานะที่แบรนด์รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ทีมลิเวอร์พูล และแมนฯยูฯ ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ได้ริเริ่มกิจกรรมการแข่งขัน ฮอนด้าเรดแชมเปี้ยน มาตั้งแต่ปี 2011 เพื่อสานฝันนักเตะเยาวชนไทยที่มีความสามารถให้มีโอกาสได้ไปฝึกฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษกับสโมสรฟุตบอลระดับโลกอย่างลิเวอร์พูลและแมนฯยูฯ จากประสบการณ์ในปีแรก เยาวชนไทยจากโครงการของฮอนด้าต่างก็ได้รับคำชม และการยอมรับจากโค้ชชาวอังกฤษของทั้งสองสโมสรว่ามีทักษะที่ดีไม่แพ้นักเตะเยาวชนอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคุณสมบัติสำคัญอยู่ 2 อย่างที่เด็กไทยขาดไปและจำเป็นที่จะต้องได้รับการปรับปรุง อย่างแรกคือความขยันในการฝึกซ้อมและการเล่น อย่างที่สองคือความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยแม้ตกเป็นรองคู่ต่อสู้
          นายสุชาติกล่าวว่า "จากสิ่งที่พบดังกล่าว เพื่อจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้นักเตะเยาวชนไทยมุ่งมั่นสู่ความฝันอย่างจริงจัง และมีทัศนคติไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จนกลายเป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ขึ้น โดยฮอนด้าได้ดึงเอาสุดยอดนักเตะระดับโลกทั้งจากทีมลิเวอร์พูล และแมนฯยูฯมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ผู้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจสู่เด็กไทยกันอย่างคับคั่งไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ซัวเรซ, สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเวอร์ชั่น เดอะ ลิเวอร์พูล เวย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ แม็กซิมั่น เอฟฟอร์ท อย่าท้อถอย รวมไปถึง ไรอัน กิ๊กส์ และ พอล สโคลส์ ในเวอร์ชั่น เดอะ ยูไนเต็ด เวย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ เนเวอร์ กิ๊ฟ อัพ อย่ายอมแพ้" จะเริ่มออกอากาศตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ทางฟรีทีวีทุกช่อง
          นายสุชาติกล่าวว่า ทางด้านความเคลื่อน ไหวของศึกฟุตบอลเยาวชนแดงเดือดฮอน ด้าเรดแชมเปี้ยน ปีที่ 2 ล่าสุด มาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ฮอนด้าได้คัดเลือกตัวแทนระดับร้านผู้จำหน่ายเสร็จสิ้นครบทุกภาคแล้ว และจะเริ่มการแข่งขันในระดับภูมิภาคตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป เริ่มจากเขตกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคม ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน, ภาคกลาง ระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายน ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน, ภาคอีสาน ระหว่างวันที่ 10-11 พฤศจิกายน ที่สนามฟุตบอลโรงเรียนกีฬา จ.
ขอนแก่น, ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.พิษณุโลก, และภาคใต้ ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน ที่สนามกีฬากลาง จ.นครศรีธรรมราช โดยทีมที่ชนะเลิศจากทั้ง 5 ภาค รวม 5 ทีมจะได้สิทธิเดินทางไปฝึกอบรมเทคนิคฟุตบอลที่ ซอคเกอร์ สคูล ของทีมลิเวอร์พูล และแมนฯยูฯ ที่ประเทศอังกฤษในรูปแบบของ ช็อท เทรนนิ่ง คอร์ส
ทีมา : มติชน 

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บ้านจัดสรรบูม 67,781 ยูนิต


กรมที่ดินเผยตัวเลขขออนุญาตจัดสรร 9 เดือน 67,781 ยูนิต ตลาดทาวน์เฮาส์ครองแชมป์ 42.33% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 31.08% และบ้านแฝด 12.28%
          แหล่งข่าวจากสำนักส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กรมที่ดิน เปิดเผยกับ "โลกวันนี้" ถึงตัวเลขขออนุญาตจัดสรรในช่วง 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย.) ปี 2555 ว่าผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตจากกรมที่ดินให้ทำการจัดสรรทั้งสิ้น 568 โครงการ จำนวน 67,781 ยูนิต แบ่งเป็นเขตกรุงเทพฯ 96 โครงการ จำนวน 12,686 ยูนิต ต่างจังหวัดอีก 472 โครงการ จำนวน 55,095 ยูนิต ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตกว่าตลาดคอนโดฯที่มียอดจดทะเบียนเพียง 48,489 ยูนิต สำหรับรายละเอียดของประเภทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตแบ่งเป็นทาวน์เฮาส์มากที่สุด 28,695 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 42.33% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 20,389 ยูนิต คิดเป็น 31.08% บ้านแฝด 8,324 ยูนิต คิดเป็น 12.28% ที่ดินเปล่า 5,404 ยูนิต คิดเป็น 7.97% และอาคารพาณิชย์ 4,969 ยูนิต คิดเป็น 7.33%
          ส่วนตัวเลขขอออกใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ (ทั้งโครงการ) ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีโครงการที่ได้ รับใบอนุญาตจากกรมที่ดินทั้งสิ้น 67 โครงการ แบ่งเป็นเขตกรุงเทพฯ 13 โครงการ ที่เหลือเป็นเขตต่างจังหวัด (ภูมิภาค) 54 โครงการ โดยจัง- หวัดที่ได้รับใบอนุญาตมากที่สุดคือ นนทบุรี จำนวน 16 โครงการ รอง ลงมาเป็นระยอง 13 โครงการ ชลบุรี 5 โครงการ นครศรีธรรมราช 4 โครง- การ มหาสารคาม 
ขอนแก่น และพระนครศรีอยุธยา จังหวัดละ 2 โครงการ อุบลราชธานี สระบุรี ปทุม- ธานี ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ ยะลา พิษณุโลก อุทัยธานี นครสวรรค์ และแม่ฮ่องสอน จังหวัดละ 1 โครงการ
          ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคมที่มีโครงการได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรจากกรมที่ดินทั้งสิ้น 49 โครงการ (กรุงเทพฯ 8 โครงการ และต่างจังหวัด 41 โครงการ) แสดงให้เห็นว่าตัวเลขได้รับใบอนุญาตในเดือนกันยายนเติบโตกว่าเดือนสิงหาคมทั้งในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ที่มา :  โลกวันนี้

ขนส่งขอนแก่นเปิดประมูล ทะเบียนสวย-ไม่ต่ำ 20 ล้าน


เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายกนก ศิริพานิชกร ขนส่งจังหวัดขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวการจัดประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่เป็นที่ต้องการ หรือเป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไป (เลขสวย) ครั้งที่ 9 ประจำปี 2555 ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ทั้งรถเก๋งและรถ 4 ประตู หมวดอักษร กร หรือ "การงานรุ่งเรือง การค้าร่ำรวย" จำนวน 301 เลขหมาย โดยการประมูลเป็นรูปแบบวิธีเคาะไม้ ซึ่งเสนอด้วยวาจา จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 พ.ย.55 ระหว่างเวลา 08.30-17.00 น. ณ ห้องประชาสโมสร โรงแรมเซ็นทาราคอนแวนชั่นเซ็นเตอร์ ขอนแก่น ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายกนก กล่าวว่า การประมูลเลขทะเบียนรถเลขสวยของกรมการขนส่งทางบก ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับป้ายทะเบียนเลขสวยในปีนี้ทางจังหวัดได้ส่งให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ออกแบบ โดยป้ายปีนี้จะมีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งจะบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของขอนแก่นได้มากยิ่งขึ้นคือ รูปไดโนเสาร์ขนาดใหญ่กว่าเดิม และมีรูปพระธาตุขามแก่นปรากฏบนป้ายทะเบียน จากเดิมที่เป็นรูปขอนไม้และไดโนเสาร์ขนาดเล็ก ซึ่งป้ายทะเบียนทั้ง 301 หมายเลข ได้ผ่านพิธีเสริมสิริมงคลจากวัดเจติยภูมิ (พระธาตุขามแก่น) ต.บ้านขาม อ.น้ำแพง จ.ขอนแก่น
          การเปิดประมูลป้ายทะเบียนเลขสวยของขนส่งจังหวัดขอนแก่นในปีนี้เป็นครั้งที่ 9 ทางสำนักงานขนส่งจังหวัดได้จัดกิจกรรมพิเศษ โดยผู้ที่ชนะการประมูลเลขทะเบียนทั้ง 301 หมายเลข จะได้รับกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฟรี จากบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด นอกจากนี้ผู้ที่ประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวยตั้งแต่ 30,000 บาท ขึ้นไป ยังมีสิทธิ์ได้รับสลากจับรางวัลชิงโชครถ จยย.คันใหม่เอี่ยมอีกด้วย รวมไปถึงการแถมป้ายทะเบียนรถปิกอัพอีกด้วย ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน 
ที่มา : บ้านเมือง 

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รายงาน: 'คมนาคม' เกลี่ยใหม่เม็ดเงิน 1.9 ล้านล้านเมกะโปรเจ็กต์ 'ถนน-ทางด่วน-รถไฟสู่ภาคใต้'


             กำลังเป็นที่จับตาสำหรับแผนการลงทุนครั้งใหญ่ของกระทรวงคมนาคม ที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาลกว่า 1.9 ล้านล้านบาท สำหรับแผนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่ง ทั้ง บก-น้ำ-อากาศ 8 ปีหน้า ตั้งแต่ปี 2556-2563 เป้าหมายใช้เป็นทิศทางเตรียมความพร้อมในการวางรากฐานสร้างอนาคตของประเทศ
          สถานะปัจจุบันบิ๊กคมนาคม "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างเดินสายจัดประชาพิจารณ์นักธุรกิจท้องถิ่นแต่ละภาค รับฟังข้อคิดเห็นต่อแผนการลงทุนครั้งนี้ใน 8 จังหวัด ไล่จาก "อุบลราชธานี-เชียงใหม่ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช-ชลบุรี-นครราชสีมาพิษณุโลก-
ขอนแก่น" ตามเงื่อนเวลาจะได้ข้อสรุปในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ทั้งรายชื่อโครงการและเงินลงทุนโครงการที่ปรับใหม่
          ล่าสุด ภาพรวมของแผนงานมีปรับเพิ่มรายโครงการจาก 55 โครงการ เงินลงทุนกว่า 1.99 ล้านล้านบาท เป็น 72 โครงการ เงินลงทุนกว่า 1.9 ล้านล้านบาท
          "ราง" ซิวแชมป์กว่า 1.1 ล้านล้าน
          แยกเป็นด้านขนส่งทางถนน จำนวน 31 โครงการ วงเงินรวม 648,995 ล้านบาท หรือ 33.91% ด้านขนส่งทางราง 33 โครงการ วงเงินรวม 1,164,477 ล้านบาท หรือ 6.84% ด้านขนส่งทางน้ำ 5 โครงการ วงเงินรวม 63,606 ล้านบาท และด้านขนส่งทางอากาศ 3 โครงการ วงเงินรวม 36,927 ล้านบาท
          แผนแม่บทปรับใหม่หน่วยงานที่ใช้เงินลงทุนสูงสุดคือ "ร.ฟ.ท.-การรถไฟแห่งประเทศไทย" วงเงิน 903,706 ล้านบาท ตามมาด้วย "ทล.-กรมทางหลวง" วงเงิน 417,076 ล้านบาท "รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" วงเงิน 260,771 ล้านบาท "ทช.-กรมทางหลวงชนบท" วงเงิน 139,868 ล้านบาท"กทพ.-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย" วงเงิน 64,577 ล้านบาท "กทท.-การท่าเรือแห่งประเทศไทย" วงเงิน 34,958 ล้านบาท "ทอท.-บมจ.ท่าอากาศยานไทย" วงเงิน 32,872 ล้านบาท "จท.-กรมเจ้าท่า" วงเงิน 28,648 ล้านบาท "ขสมก.-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ" วงเงิน 14,125 ล้านบาท "ขบ.-กรมการขนส่งทางบก" วงเงิน 13,347 ล้านบาท และ "บวท.-บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด" วงเงิน 4,055 ล้านบาทแต่เมื่อเจาะลึกเป็นรายภาค เบื้องต้นพบว่า "ภาคกลาง" ซึ่งมีพื้นที่รวมถึง "กรุงเทพมหานคร" ด้วย ใช้เม็ดเงินลงทุนสูงสุดกว่า 40% ของวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท
          ตัดทิ้ง "ถนนไร้ฝุ่น-4 เลน"
          "สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์" รองปลัดกระทรวงคมนาคมด้านอำนวยการ กล่าวว่า แผนแม่บทมีการปรับโครงการใหม่ โดยตัดโครงการที่ใช้งบประมาณและเป็นแค่ไอเดียออก เนื่องจากแผนลงทุนครั้งนี้เป็นการใช้เงินกู้ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น ถนนไร้ฝุ่น บริหารจัดการด้วยการใช้งบประมาณปกติแทน หรือขยายถนน 4 ช่องจราจร กรณีโครงการใดที่ไม่ใช่เส้นทางเสริมระบบ โลจิสติกส์จะคัดออก และนำเส้นทางส่งเสริมโครงข่ายการท่องเที่ยวเข้ามาแทน
          "เราเน้นประเภทโครงการที่เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในระยะยาว ด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบขนส่งที่ไม่ใช่ภารกิจประจำ และดูความพร้อมที่ได้รับการอนุมัติแล้วด้วย ทั้งศึกษาและออกแบบรายละเอียดและใช้เวลาดำเนินการอยู่ในช่วงเวลาที่กำหนดในปี 2563 แต่แผนก็ยังไม่นิ่ง รอฟังเสียงจากท้องถิ่นว่าจะมีโครงการใหม่เพิ่มอีกหรือไม่"
          ผุดทางด่วนเชื่อมหัวเมืองใหญ่
          "รองฯสร้อยทิพย์" กล่าวอีกว่า ตัวอย่างเช่น ภาคใต้ได้เพิ่มโครงการก่อสร้างทางด่วนใหม่ เชื่อมกะทู้-ป่าตองเข้าไปด้วย เนื่องจากท้องถิ่นต้องการโครงข่ายทางด่วนเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาการจราจร ซึ่งอยู่ในแผนของการทางพิเศษฯอยู่แล้ว ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 6,082 ล้านบาท เวลาสร้าง 4 ปี เริ่มปี 2558-2561
          ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบได้เพิ่มโครงการใหม่เข้ามา เช่น กรมทางหลวง เพิ่มโครงการต่อขยายโทลล์เวย์จากรังสิต-บางปะอิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท ใช้เวลาสร้าง 3 ปี (2557-2559) โครงการต่อขยายทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี ช่วงพุทธมณฑลสาย 2-เพชรเกษม วงเงิน 12,500 ล้านบาท ก่อสร้าง 3 ปี (2557-2559)
          กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการใหม่ เช่น สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมพระสมุทรเจดีย์-ถนนเชื่อมต่อสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนที่ท่าฉลอม วงเงิน 30,967 ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินการ 5 ปี (2559-2563) ถนนต่อเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลา 3 ปี (2557-2559) วงเงิน 33,606 ล้านบาท โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่ปริมณฑลและหัวเมืองใหญ่ วงเงิน 14,427 ล้านบาท
          ฟี้นรถไฟ "สุราษฎร์ฯ-ภูเก็ต"การทางพิเศษฯเสนอทางด่วนสายใหม่เพิ่ม นอกเหนือจากทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ (N1-N2-N3) วงเงิน 55,488 ล้านบาท มีสายศรีรัช-ดาวคะนอง วงเงิน 13,460 ล้านบาท ก่อสร้าง 5 ปี (2557-2561) และสายดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก วงเงิน 14,286 ล้านบาท ใช้เวลา 5 ปี (2557-2561)
          เช่นเดียวกับ "รถไฟสายใหม่" จาก "สุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต" ที่การรถไฟฯฟื้นขึ้นมาบรรจุเข้าไปในบัญชีล่าสุด ใช้เวลาดำเนินการ 2 ปี (2556-2557) เพื่อเป็นเส้นทางสำหรับรองรับบูมการท่องเที่ยวภาคใต้
          แต่ทั้งหมดยังเป็นแค่ตุ๊กตาที่ยังมีโอกาสถูกปรับเพิ่ม-ปรับลดได้อีก อยู่ที่เสียงสะท้อนจากท้องถิ่นว่าจะดังมากแค่ไหน รวมถึงแหล่งเม็ดเงินลงทุนที่กระทรวงการคลังจะจัดสรรมาให้ด้วยเช่นกัน
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ