วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อสังหาฯ อีสานปีหน้าบูม


            นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และการซื้อ-ขายที่ดินในหัวเมืองจังหวัดต่างๆของภาคอีสานว่า มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากเศรษฐกิจการค้าตามแนวชายแดน และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ตลอดจนในเขตเมือง ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นและมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น โคราช ขอนแก่น อุดรธานี หรือ หนองคาย แต่ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ น่าจะเป็นจังหวัดขอนแก่น และอุดรธานี ซึ่งทั้ง 2 จังหวัดนี้ มีศักยภาพในการพัฒนาสูงมาก และตอบโจทย์การลงทุน AEC เพราะเป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน ที่มีทั้งสนามบิน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ศูนย์กลางการค้าขาย โรงแรมใหญ่ และห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของปัจจัยเกื้อหนุนจากภาครัฐ ที่กำลังเร่งผลักดันโครงการทางพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง สาย โคราช - หนองคาย ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อขยายไปสู่ภาคอีสานตอนบนได้สะดวกขึ้น ประกอบกับการเปิดการค้าเสรีอาเซียนในปี 2558 ก็จะสามารถผลักดันเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวไปยังประ เทศลาว เวียดนาม และ จีนได้อย่างง่ายดาย จึงคาดว่าภายในปีหน้าตลาดอสังหาฯ อีสานจะเริ่มคึกคักขึ้นและโตอย่างต่อเนื่องแน่นอน โดยปัจจุบันมีดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ทยอยรุกตลาดโครงการบ้านเดี่ยว/บ้านแฝด และคอนโดฯ
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ 

ผุด'จีโอปาร์ก'เชื่อมแหล่งท่องเที่ยวธรณีวิทยา


           นายปราณีต ร้อยบาง อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี พร้อมด้วย นายทศพร นุชอนงค์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี และนายพิทักษ์ รัตนจารุรักษ์ ผู้ตรวจราชการกรมทรัพยากรธรณี พร้อมด้วยคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สิรินธร อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่สังกัดกรมทรัพยากรธรณีทั่วประเทศ เตรียมพร้อมพัฒนาแหล่งเรียนด้านธรณีวิทยาที่มีอยู่ เพื่อรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
          อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีกล่าวว่า ประเทศไทยมีแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยา และซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญหลายแห่ง แต่ละ
          แห่งมีจุดเด่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาชม สร้างรายได้ให้ประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาแห่งใหม่ที่ อ.วังสะพุง จ.เลย พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง อ.ภูเวียง จ.
ขอนแก่น พิพิธภัณฑ์สิรินธร และแหล่งขุดค้นพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ อ.สหัสขันธ์ มีความสมบูรณ์ที่สุดในอาเซียน โดยในอนาคตกรมทรัพยากรธรณีจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันโครงการ "จีโอปาร์ก" เพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาใน จ.เลย จ.ขอนแก่น และ จ.กาฬสินธุ์ เข้าด้วยกัน คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น และเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนนักศึกษาได้เป็นอย่างดี
ที่มา : ข่าวสด 

ผุด'จีโอปาร์ก'เชื่อมแหล่งท่องเที่ยวธรณีวิทยา


           สถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นปีนี้โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง หรือภาวะฝนทิ้งช่วง มาเกือบทุกปี เช่นเดียวกับปีนี้ที่มีจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเผชิญกับภาวะภัยแล้งแล้ว 22 จังหวัดสร้างความเสียหายต่อการปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญๆเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข้าว ที่มีพื้นที่ปลูกรวม 43.14 ล้านไร่ ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ดังกล่าววิเคราะห์ ของศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KOFC) ระบุว่า จะมีมูลค่าเสียหายถึง 3.5 หมื่นล้านบาท
          นายจารึก สิงหปรีชา ผู้อำนวยการ  KOFC อธิบายว่า จากการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ในภาคอีสานและภาคใต้ตอนบน รวม 22 จังหวัด พบว่าจังหวัดที่ประกาศประสบภัยแล้งแล้วมีจำนวน 18 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สกลนคร หนองคาย นครพนม อุดรธานี หนองบัวลำภู บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม 
ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ ยโสธร ศรีสะเกษ มุกดาหาร อำนาจเจริญ และจังหวัดที่ประสบภัยแล้งแต่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการมี จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร เลย สุรินทร์ อุบลราชธานี
          โดยการวิเคราะห์ พบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น มีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 35,502 ล้านบาท โดยเฉพาะสินค้าข้าวที่มีพื้นที่ประสบภัยมากสุดโดยปี 2555 มีพื้นที่ปลูกข้าวรวม 43.14 ล้านไร่  พืชไร่ 12.85 ล้านไร่ พืชสวน 6.85 ล้านไร่  ซึ่งสถานการณ์ภัยแล้งส่งผลกระทบต่อพื้นที่และผลผลิตภาคเกษตร  โดยคาดว่าพื้นที่เสียหายรวม 6.11 ล้านไร่ หรือ 4.01% ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมดของประเทศ โดยเฉพาะข้าว พบว่ามีพื้นที่ปลูกข้าวได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในภาคอีสานและภาคใต้ตอนบน รวม 6.03 ล้านไร่ 8.39% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ  และมีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 34,884 ล้านบาท หรือ 9.29%ของมูลค่าผลผลิตข้าวที่คาดว่าจะได้รับปีเพาะปลูก 2555/56
          พืชไร่ มีพื้นที่เสียหายจากภัยแล้งรวม 80,000ไร่ 0.25%ของพื้นที่เพาะปลูกพืชไร่ทั้งประเทศ มูลค่าทั้งสิ้น 494 ล้านบาท หรือ1.04% ของมูลค่าผลผลิตพืชไร่ที่คาดว่าจะได้รับในปีเพาะปลูก 2555/56 และ พืชสวนมีพื้นที่เสียหายจากภัยแล้งรวม 6,000 ล้านไร่ 0.02 %ของพื้นที่เพาะปลูกพืชสวนทั้งประเทศ มีมูลค่าทั้งสิ้น 124 ล้านบาท หรือ 0.08 % ของมูลค่าผลผลิตพืชสวนที่คาดว่าจะ  ได้รับในปีเพาะปลูก2555/2556
          ทั้งนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้น คาดว่าจะผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่แท้จริงรวม 6752 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นข้าว 6647 ล้านบาท พืชไร่ 83 ล้านบาท และพืชสวนและอื่นๆ 21 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขประมาณการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตรในปี 2555คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 3 % จากเดิมที่คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 5% ทั้งนี้เพราะ สถานการณ์ภัยแล้งส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตร ประมาณ 1.62 %
          "ข้าวที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากภัยแล้งครั้งนี้ คือข้าวหอมมะลิ ดังนั้นราคาข้าวปี 2556 คาดว่าจะสูงขึ้น จาก2 ปัจจัยคือ ราคาจำนำและปริมาณข้าวลดลง ซึ่งราคาที่สูงขึ้นจะส่งผลดีต่อสต๊อกข้าวของรัฐบาลที่ระบายออกสู่ตลาดได้ โดยไม่กระทบต่อราคาในประเทศ ขณะที่ปริมาณข้าวที่ลดลงจะไม่มีกระทบต่อการส่งออกข้าว เพราะสต๊อกข้าวมีสูงมาก ยกเว้นนโยบายรัฐที่ต้องการขายข้าวคุณภาพสูง เพื่อให้ได้มูลค่าสูงกว่าจะมีผลกระทบกรณีข้าวปริมาณลดลง" นายจารึก กล่าว
          นายจารึก กล่าวว่า เพื่อรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น รัฐควรมีนโยบายและมาตรการความช่วยเหลือแก่เกษตรกรเพื่อให้การเพาะปลูกพืชฤดูแล้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ แนวโน้มการตลาดและสถานการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปตามแผนของที่ประชุมคณะทำงานวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ที่กำหนดมาตรการ คือ 1.การจัดสรรน้ำ วางแผนการบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืน โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำเพื่อสนับสนุนการใช้น้ำทุกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งมีน้ำสำรองไว้ส่วนหนึ่ง สำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูฝน และพืชฤดูแล้งปีถัดไป แผนการจัดสรรน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆโดยจัดลำดับความสำคัญเช่น เพื่อการอุปโภค บริโภค และการประปา การเกษตรกรรม การอุตสาหกรรมและกิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น
          2. การวางแผนและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ในปี 2555/56 มาตรการจำกัดการใช้น้ำแนะนำปลูกพืช ใช้น้ำน้อยแทนนาข้าว โดยต้องนำพื้นที่ประสบภัยแล้งมาวิเคราะห์ว่าปลูกพืชชนิดใดจึงเหมาะสมให้สมดุลกับปริมาณน้ำ วางแผนและการ เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ในปี 2555/2556 ทั้งประเทศจำนวน 16 ล้านไร่ แยกเป็น การปลูกข้าวนาปรัง 13 ล้านไร่ แบ่งเป็นในเขตชลประทาน 8 ล้านไร่ และนอกเขตชลประทาน 5 ล้านไร่ พืชไร่และพืชผักจะสามารถปลูกได้ทั้งหมด 3 ล้านไร่ เป็นการเพาะปลูกในเขตชลประทาน 1 ล้านไร่ และนอกพื้นที่ชลประทาน 2 ล้านไร่
          3. พิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยใช้เงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ.2546 และ 4 .การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการพยากรณ์และการแจ้งเตือนภัย และยังมีการเตรียมการเรื่องเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยและจัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดทำข้อมูลเกษตรกร การจัดทำแผนระดับจังหวัดในขณะเผชิญภัย จะมีการแจ้งเหตุและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ การบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย
          รวมทั้งประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมปลูกพืชฤดูแล้ง และประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรและบุคคลทั่วไปทราบข้อมูลง โดยมีประเด็นในการประชาสัมพันธ์ เช่น สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ รวมทั้งแผนการจัดสรรน้ำของกรมชลประทาน รณรงค์ให้เกษตรกรและผู้ใช้น้ำใน กิจกรรมต่างๆมีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและปฏิบัติตามแผนหรือรอบเวรการจัดสรรน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชฤดูแล้ง และการประชาสัมพันธ์อื่นๆ
          'รัฐควรมีนโยบาย'และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อปลูกพืชช่วงฤดูแล้งมีประสิทธิภาพ'
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"โรบินสัน"มั่นใจยอดขายโต20% โบรกชี้กำลังซื้อต่างจังหวัดเพิ่ม


 "ห้างโรบินสัน" คาดยอดขายโต 20% 2 ปีติดเดินหน้าขยายสาขาปีละ 5 แห่ง รองรับการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศ แต่ยังไม่ทิ้งแผนเปิดสาขาต่างประเทศ ผู้บริหารเผยต้องศึกษาล่วงหน้า รับอนาคตพื้นที่ในประเทศเต็ม ด้านโบรกเกอร์ชี้กำลังซื้อต่างจังหวัดโต แม้รายได้ภาคเกษตรลด "โรบินสัน-ซีพีออลล์" มีโอกาสได้ประโยชน์สูง
          น.ส.นุจจรี สันทัดวนิช ผู้จัดการการเงิน บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) เปิดเผยว่าแนวโน้มยอดขายของบริษัทปีนี้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนหน้า โดยในช่วง 9 เดือนของปีมียอดขายแล้ว 1.52 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4 ยอดขายจะเติบโตมาก เพราะเป็นช่วงไฮซีซัน
          ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นนั้น ประเมินว่า ปีนี้น่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่างวด 9 เดือน ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 24.4% แม้ว่าในช่วงไตรมาส 3 จะปรับลดลง เนื่องจากลูกค้ายังไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจและน้ำท่วม ทำให้การใช้จ่ายลดลง แต่เชื่อว่าภาวะการใช้จ่ายจะกลับมาคึกคักอย่างมากในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซัน
          เขากล่าวว่าส่วนแนวโน้มปี 2556 คาดยอดขายยังเติบโตได้ในระดับ 20% ต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา คือ กาญจนบุรี อุบลราชธานี สกลนคร และเปิดในรูปแบบไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์อีก 2 สาขา นอกจากนี้ในปี 2557 ยังจะเปิดอีก 5 สาขา ซึ่งเป็นไปเป้าหมายที่บริษัทตั้งเป้าจะเปิดปีละ 5 สาขา ขณะนี้ ได้เตรียมเจรจาเพื่อจะซื้อที่ดินแล้ว โดยคาดจะใช้เงินลงทุนประมาณ 800-1,000 ล้านบาทต่อสาขา "บริษัทเน้นแผนการขยายสาขาไปต่างจังหวัดเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ แต่แผนขยายสาขาไปต่างประเทศก็ยังไม่ทิ้ง ยังอยู่ในแผนที่ศึกษาอยู่ เพราะประเมินว่าการขยายสาขาในประเทศอีก ไม่นานจะเต็มพื้นที่จึงต้องศึกษาแผนขยายไปยังต่างประเทศไว้ด้วย"
          ด้านนายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน กล่าวเชื่อมั่นว่าภาพรวมตลาดในปี 2556 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ โดยบริษัทวางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 แห่งภายในปีหน้า ในไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทได้วางแผนที่จะขยายสาขาใหม่เพิ่ม 3 แห่ง ซึ่งได้เปิดให้บริการไปแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โรบินสัน สุราษฎร์ธานี และโรบินสัน บางแค เตรียมเปิดให้บริการอีก 1 สาขา คือ โรบินสัน ลำปาง โดยคาดจะเปิดช่วงเดือน ธ.ค.นี้
          บล.ทิสโก้ วิเคราะห์ว่าเรามีมุมมอง ในเชิงบวก ต่อการขยายกิจการและการ เติบโตของธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ แม้ว่า รายได้ภาคการเกษตรลดลงแต่ส่งผลจำกัดต่อธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากความมั่งคั่งใน ต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
          ประกอบกับเกษตรกรไม่ได้พึ่งพา รายได้ภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต ในบางจังหวัดจึงมีศักยภาพในการเติบโตสูงมากสำหรับธุรกิจค้าปลีก เช่น ซีพีออลล์ และโรบินสัน ซึ่งได้ประโยชน์จากกำลังซื้อในต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้โรบินสันเป็นห้างสรรพสินค้าเดียว ที่มีการวางเครือข่ายขยายในต่างจังหวัด โดยเชื่อว่าโรบินสัน จะได้ประโยชน์จากลูกค้ากลุ่มมีฐานะสูง และปานกลาง โดยสาขาที่ขอนแก่นและอุดรธานีนอกจากจะมีคนไทยแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวชาวลาวเข้ามาซื้อสินค้าในช่วงสุดสัปดาห์อีกด้วย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 



เกษตรก้าวไกล: พริกพันธุ์อัคนีพิโรธ ต่อยอดสู่อุตสาหกรรมยา


            “เกษตรก้าวไกลฉบับนี้ ยังคงอยู่ที่เรื่องราวของพริกพันธุ์อัคนีพิโรธเหมือนเดิม หลังจากที่ได้เล่าถึงความเป็นมาของพริกพันธุ์ใหม่นี้ โดยทางรองศาสตราจารย์ ดร.สุชีลา เตชะวงค์เสถียร หัวหน้าคณะผู้วิจัย ได้เล่าต่อว่า อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานเพื่อพัฒนาพันธุ์พริกเผ็ดยังดำเนินการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนได้พริกลูกผสม อัคนี-พิโรธที่เกิดจากพริกพันธุ์พิโรธ (Bhut Jolokia) ซึ่งเป็นพริกที่มีรายงานว่าเผ็ดที่สุดในโลกพันธุ์หนึ่ง โดยพริกลูกผสม อัคนีพิโรธเป็นพืชกึ่งยืนต้น สามารถเก็บเกี่ยวได้หลายฤดู มีความเผ็ดสูงเป็น 10 เท่าของพริกจินดามากกว่า 500,000 สโคว์วิลล์ (SHU) มีผลผลิตพริกสดสูงประมาณ 3,600 กก./ไร่ (เก็บเกี่ยว 4 ครั้ง) หรือพริกแห้งของพันธุ์อัคนีพิโรธประมาณ 32 กิโลกรัม ให้ผลผลิตสารเผ็ดประมาณ 1 กิโลกรัม ต่างจากพริกพันธุ์จินดา ที่ต้องใช้พริกแห้งถึง 616 กิโลกรัม นอกจากนั้น ยังสามารถปรับตัวได้ดีกว่า และให้ผลผลิตสูงกว่าพริกพิโรธพันธุ์เดิม รวมทั้งทนทานต่อโรคแอนแทรกโนส ขณะนี้บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด ได้นำตัวอย่างพริกแห้ง อัคนีพิโรธไปทดลองพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการปวดเมื่อยในสูตรใหม่ และจะได้ยื่นขอขึ้นทะเบียน ตำรับยาต่อไป
          สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลงานวิจัยในระดับอุตสาหกรรมนั้น นายศุภชัย สายบัว กรรมการบริษัท บางกอกแล็ป กล่าวโดยสรุปว่า ธุรกิจหลักของบริษัทคือ ผลิตยาแผนปัจจุบันที่ได้มาตรฐานทั้ง GMP และมาตรฐานนานาชาติ รวมทั้งมาตรฐานห้องปฏิบัติการ บริษัทให้ความสนใจทางด้านสมุนไพรต่อเนื่องมาหลายปี โดยสนับสนุนการตั้งศูนย์วิจัย DLC ขึ้นมาเพื่อที่จะรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วนการแสวงหานวัตกรรมหรือการต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ก็ได้ตั้งศูนย์วิจัยขึ้นมาเพื่อรองรับงานด้านนี้โดยเฉพาะ เมื่อทำการวิจัยจนถึงขั้นตอนจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา อย่างแรกคือ วัตถุดิบจะเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ อย่างกรณี ของพริก แม้มีอยู่ในประเทศมากมายแต่บางฤดูกาลก็ขาดตลาด หรือบางอย่างแม้มีอยู่ในธรรมชาติก็จริง แต่เมื่อเรานำมาใช้ก็จะเกิดการทำลายป่าอย่างมโหฬาร ถ้าเมื่อใดเป็น การตลาดแล้วไม่ทำการเพาะปลูกขึ้นมาก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
          และอย่างที่สองคือ คุณภาพของวัตถุดิบจะมีสาระสำคัญสูงหรือสม่ำเสมอหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในอนาคตด้วย เช่น การใช้พริกตามท้องตลาดที่ควบคุมคุณภาพไม่ได้ที่อาจมีเชื้อรา ก็จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไม่น่าเชื่อถือ การให้เกษตรกร ปลูกจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่ก็มีปัญหาว่าจะใช้พันธุ์อะไร โดยก่อนหน้านี้นับว่าโชคดีที่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้พริกพันธุ์ยอดสน นำไปใช้ได้ในระดับดีมาก และเมื่อต้องการผลิต Capsika Gel ในระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้น เมื่อได้ใช้พริกพันธุ์ใหม่ ซึ่งมี Capsaicin สูงก็จะทำให้ได้สารสำคัญที่บริสุทธิ์มากขึ้น แต่ทว่าใช้ปริมาณพริกน้อยลง ซึ่ง เป็นการเพิ่มความเข้มข้นตามธรรมชาติของพริกพันธุ์ใหม่ ที่สำคัญเป็นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศทำให้ลดการนำเข้า ในการเพาะปลูกก็สามารถให้ความรู้แก่เกษตรกรในการดูแลรักษาให้เป็นไปตามมาตรฐาน คิดว่าผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะช่วยให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในด้านสมุนไพรมีจุดเริ่มต้นที่ดี
ที่มา : สยามธุรกิจ 

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

4 แบงก์เกาะกระแสลงทุนภูธรปูพรม 2,279 สาขารุกบริการเงินครบวงจร


           แบงก์พาณิชย์บุกต่างจังหวัดรับการขยายตัวเศรษฐกิจภูมิภาค ธปท.เผยผลพวงลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ในหัวเมืองรับเออีซี ชี้ตัวเลขลงทุนขอบีโอไอ 9 เดือนแตะ 8 แสน ล. ดันเศรษฐกิจอีสาน-ตะวันออกบูม กำลังซื้อพุ่ง หนุนตลาดอสังหาฯ-รถยนต์กระฉูด 4 แบงก์ใหญ่ปูพรมเปิดสาขา ตจว. 2,279 สาขา "บัวหลวง-กสิกรไทย" ปรับกลยุทธ์ส่งสินค้าและบริการการเงินครบวงจร
          ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ผลจากการขยับขึ้นของรายได้ของประชาชน ตามนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ตลอดจนมาตรการเพิ่มรายได้อื่น ๆ ของรัฐบาล รวมถึงการใกล้เข้ามาของการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ได้ส่งผลโดยตรงกับกิจกรรมการบริโภคและลงทุนในต่างจังหวัดในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการขยายสินเชื่อ ให้บริการทางการเงิน และการปรับกลยุทธ์ของธนาคารพาณิชย์
          ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ผลจากการขยับขึ้นของรายได้ของประชาชน ตามนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ตลอดจนมาตรการเพิ่มรายได้อื่น ๆ ของรัฐบาล รวมถึงการใกล้เข้ามาของการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ได้ส่งผลโดยตรงกับกิจกรรมการบริโภคและลงทุนในต่างจังหวัดในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการขยายสินเชื่อ ให้บริการทางการเงิน และการปรับกลยุทธ์ของธนาคารพาณิชย์
          ธปท.ชี้เศรษฐกิจภูมิภาคบูม
          นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้การลงทุนเพื่อซ่อมแซมความเสียหายหลัง น้ำท่วมจะลงทุนไปเกือบหมดแล้วในปีนี้ แต่ ธปท.ยังประเมินว่า การลงทุนในปี 2556 จะยังคงขยายตัวดี เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจปีหน้า เพราะขณะนี้มีปัจจัยสนับสนุนเข้ามาให้เห็น คือการขอรับส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ภาวะผ่อนคลายทางการเงินก็ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนดอกเบี้ยที่สำคัญ
          ขณะเดียวกัน ระยะนี้ยังมีการลงทุนเพื่อรองรับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) โดยเฉพาะการลงทุนในสาธารณูปโภคในหัวเมืองใหญ่แต่ละภูมิภาค ที่ขณะนี้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญ
          ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า การลงทุนใหม่มีแนวโน้มจะขยายตัวดี เห็นได้จากการขอรับส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 8.04 แสนล้านบาท จากที่บีโอไอวางเป้าหมายทั้งปีไว้ 8 แสนล้านบาท
          นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของธนาคารขณะนี้คือ ผลักดัน การเติบโตทั้งธุรกิจต่างประเทศที่กำลังให้น้ำหนักกับภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตสูง และธุรกิจในประเทศที่มีการขยายตัวออกสู่ภูมิภาคและชนบทสูงขึ้น ซึ่งการเติบโตให้สมดุลทั้งในและต่างประเทศนั้นต้องอาศัยการบริหารจัดการภายในให้ดี
          โดยนายศิริเดช เอื้องอุดมสิน ผู้ช่วย ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ในพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างมาก โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ที่ใกล้ชายแดนของแต่ละภาคที่ต้องลงทุนเพื่อรองรับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นขอนแก่น
 อุดรธานี หนองคาย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หาดใหญ่ในภาคใต้ เป็นต้น
          ประกอบกับที่ผ่านมามีการย้ายโรงงานอุตสาหกรรมไปสู่ภาคพื้นตะวันออกเพื่อลดความเสี่ยงน้ำท่วมของหลายอุตสาหกรรม ทำให้มีความต้องการสินเชื่อเพื่อลงทุนจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมทางภาคตะวันออกค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ขณะที่ปราจีนบุรีก็กำลังมีการเติบโตค่อนข้างสูง และการย้ายฐานออกไปของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยและรถยนต์ในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย
          "ตอนนี้เศรษฐกิจต่างจังหวัดโตขึ้นมากจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จากเดิมที่ความเจริญในกรุงเทพฯกับต่างจังหวัดจะต่างกันมาก เราก็ให้ความสำคัญกับกรุงเทพฯ แต่ระยะหลังมานี้เศรษฐกิจในภูมิภาคดีขึ้น ทั้งผลจากที่เพื่อนบ้านเปิดประเทศมากขึ้น ภาคเกษตร พืชไร่ ปศุสัตว์ก็ราคาดี กำลังซื้อของคนต่างจังหวัดก็มีมากขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงออกไปลงทุนต่างจังหวัดเพื่อรองรับกำลังซื้อดังกล่าว"
          บัวหลวงปรับแผนชิงเค้ก ตจว.
          นายศิริเดชกล่าวว่า ธนาคารมีการปรับการทำงานภายในเพื่อรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดไม่ได้ใช้เพียงสินเชื่อและเงินฝากอีกต่อไป แต่ต้องการบริการการเงินที่หลากหลายมากขึ้น
          อย่างไรก็ตาม ช่องทางสาขายังคงเป็นช่องทางสำคัญในการดูแลลูกค้าในพื้นที่ ต่างจังหวัด ดังนั้น กลยุทธ์ของธนาคารจึงอยู่ในรูปแบบการเปิดสาขาใหม่เพื่อรองรับความต้องการ โดยการเพิ่มจำนวนสาขาใหม่จะยังอยู่ที่ 30-40 สาขาต่อปี แต่จะให้ความสำคัญกับพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น และอยู่ในพื้นที่รอบ ๆ เมืองมากขึ้น เทียบกับอดีตที่สาขาธนาคารจะอยู่ใจกลางเมืองเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ คาดว่าการที่เศรษฐกิจในต่างจังหวัดที่เติบโตมากนี้จะทำให้สินเชื่อในประเทศที่มาจากต่างจังหวัดมีสัดส่วนสูงขึ้น จากปัจจุบันสินเชื่อในกรุงเทพฯกับต่างจังหวัดที่ 60 ต่อ 40
          นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การที่สินเชื่อต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวสูงถือเป็นเรื่องที่ดี แสดงให้เห็นว่าในพื้นที่ต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ธปท.เห็นว่าขณะนี้บริการทั้งการเงินบุคคลและสินเชื่อธุรกิจยังคงเติบโตอยู่ในหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในส่วนสินเชื่อเพื่อการลงทุนในสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มีการเติบโตมาก
          "กรณีลูกค้าบุคคล การใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ตามการลงทุนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เช่น ในหัวหิน พัทยา ไม่ใช่การให้สินเชื่อ หรือบริการแบบไมโครไฟแนนซ์ในชนบทตามแนวทางที่ ธปท.พยายามผลักดัน แต่ก็เห็นความพยายามในการให้บริการในตลาดไมโครไฟแนนซ์ของธนาคารพาณิชย์"
          ขณะที่ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยก็วางยุทธศาสตร์ในการขยายฐานธุรกิจออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย หรือ เคแบงก์ กล่าวว่า ตลาดต่างจังหวัดจะเป็นเรื่องใหญ่ของเครือกสิกรไทยทั้งหมด และเป็นประเด็นใหญ่สำหรับการรับมือการค้าและการลงทุนเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ปัจจุบันตลาดต่างจังหวัดจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก ในลักษณะกระจายตัวของชุมชนเมืองไปทั่วประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจในกรุงเทพฯเริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว
          "สิ่งที่กสิกรไทยดำเนินการตอนนี้คือ ดึงทุกยูนิตของธนาคารรุกต่างจังหวัดหมด โดยกำหนดเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ในการบุกเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด เพราะธนาคารมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดเมืองไทยให้มากที่สุด โดยปีนี้มีการนำร่องแล้ว 14 จังหวัด ในปีหน้าเพิ่มอีก 8 จังหวัด เป็น 22 จังหวัด โดยจะขยายบริการทางการเงินทุกรูปแบบให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า เพื่อให้เป็นธนาคารหลักของลูกค้าทุกกลุ่มทั้งรายย่อยและลูกค้าธุรกิจ พร้อมกับการเพิ่มสาขาของธนาคารจาก 893 สาขาในสิ้นปี 2555 เป็น 975 สาขาในปี 2556"
          แนะแบงก์ปรับตัวรับค้าชายแดน
          น.ส.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วย ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยควรมีการปรับโครงสร้างรองรับปริมาณการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าการค้าชายแดนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี และ 80% เป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้น ธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะใช้ระบบเงินสด ซึ่งธนาคารควรมีการปรับกลยุทธ์ เช่น ขยายสาขาในพื้นที่ชายแดน บริการแลกเปลี่ยนเงินตรา และการเบิกถอนเงิน
          "ศักยภาพค้าชายแดนที่มีปริมาณการค้า 899.8 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทำให้ธุรกรรมการเงินในพื้นที่มีความสำคัญมากขึ้น แต่ขอบข่ายการให้บริการอาจยังจำกัดอยู่ในประเทศไทย"
          ปัจจุบันสายงานลูกค้าธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีแผนจะเข้าไปเจาะตลาดในต่างจังหวัดและชายแดนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี โดยมีเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อในต่างจังหวัดให้มากกว่าในกรุงเทพฯ จากปัจจุบันสัดส่วนสินเชื่อในต่างจังหวัดมีประมาณ 50% ของพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอี
          แบงก์ขนาดกลางจัดทัพลุย SME
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ภาพการ ปรับตัวของธนาคารขนาดกลางในปี 2555 เริ่มหันไปจับตลาดลูกค้าเอสเอ็มอีอย่างมีนัยสำคัญ และให้ความสำคัญกับธุรกิจในต่างจังหวัด เช่น ธนาคารธนชาต มีการปรับโครงสร้างระบบการพิจารณาและอนุมัติ สินเชื่อ (credit scoring) ผ่านสาขา 300 แห่งทั่วประเทศใหม่ ให้สามารถอนุมัติสินเชื่อได้เร็วขึ้นจาก 45 วัน เหลือ 2 วัน และจะมีวงเงินประเภทซอฟต์โลนประมาณ 5,000 ล้านบาทให้กับเอสเอ็มอีไซซ์เล็ก โดยให้วงเงินต่อราย 4-5 ล้านบาท สำหรับธุรกิจในกรุงเทพฯ และ 1-2 ล้านบาท สำหรับธุรกิจในต่างจังหวัด เพราะมองว่าลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็กมีประวัติการชำระหนี้ดี โอกาสเกิดหนี้เสียน้อย และหลักประกันที่ให้ไว้กับธนาคารส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยของลูกค้า ซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่หลักประกันจะถูกยึด
          ด้านธนาคารทหารไทย ใช้หันมาใช้กลยุทธ์เพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจให้กับ ลูกค้าเอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยเปิดโครงการอบรมให้กับลูกค้าธนาคาร เริ่มจากกรุงเทพฯ ชลบุรี และล่าสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งเปิดบริการใหม่ 2 ประเภท เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของลูกค้า คือ บัญชีธุรกิจวันแบงก์ วันแอ็กเคานต์ ที่มีจุดเด่นเรื่องยกเว้นค่าธรรมเนียมฝาก ถอน และโอน ทุกสาขา 465 แห่งทั่วประเทศ และบริการวันแบงก์วันเดย์ ที่มีจุดเด่นให้ลูกค้าธุรกิจได้รับเงินเคลียริ่งเช็คภายใน 1 วัน โดยมีค่าธรรมเนียมเท่ากับการเคลียริ่งเช็คปกติที่ต้องใช้เวลา 3-5 วันทำการ
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ



เล็งผุดทางด่วนเชื่อมเพื่อนบ้านเริ่มศึกษา'เชียงใหม่-ขอนแก่น'

        นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยในโอกาสครบรอบ 40 ปี ว่า กทพ.เตรียมก่อสร้างทางพิเศษ (ทางด่วน) บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองตามแนวชายแดน 4 จุด คือ แม่สอด แม่สาย มุกดาหาร และสะเดา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการเดินทางเข้าออกประเทศมากขึ้น โดยจะเริ่มศึกษาในปี 2556 ใช้ระยะเวลาศึกษา 1 ปี หลังจากนั้นจึงจะเสนอเรื่องเพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป
          "การก่อสร้างแต่ละจุดจะมีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ใช้งบก่อสร้างประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อจุด โดย กทพ.จะรวมพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และขั้นตอนต่างๆ ไว้บนทางพิเศษทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการสะดวกมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะต้องหารือร่วมกับประเทศที่มีพรมแดนติดกันด้วย เพราะเส้นทางดังกล่าวจะมีบางส่วนที่ไปอยู่ในเขตแดนของประเทศเพื่อนบ้าน"
          นายอัยยณัฐกล่าวว่า สำหรับทางด่วนในต่างจังหวัดจะเริ่มศึกษาในปีหน้า 2 แห่ง คือ เชียงใหม่ และขอนแก่น เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะใช้เวลาศึกษา 1 ปี คาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้ในปี 2559
ที่มา : มติชน 

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เผยจีนยินดีร่วมลงทุนไฮสปีดเทรนฝัน! อีก 5-6 ปี ไทยเท่าอังกฤษ


รมว.คมนาคม เผยหลังหารือร่วมนายกรัฐมนตรีจีน ระบุจีนยินดีจะเข้าร่วมประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง ชี้จีนเสนอให้ไทยสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงผ่านกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังทางออกทะเล ขณะเดียวกัน รมว.คมนาคมลั่นไม่เกิน 5-6 ปี จะมีระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเทียบเท่าประเทศอังกฤษ
          ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลว่า รัฐบาลไทยได้เชิญชวนจีนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในเรื่องการจัดการน้ำและโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งฝ่ายจีนยินดีจะเข้าร่วมประมูลก่อสร้างโครงการต่างๆ โดยขอให้รัฐบาลไทยดูแลการประมูลโครงการเป็นไปอย่างโปร่งใส
          สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงของไทยเป็นโครงการที่จีน ให้ความสนใจเนื่องจากจีนมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนสร้างรถไฟความเร็วสูงในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอยู่แล้ว ดังนั้น หากมีเส้นทางที่เชื่อมโยงมาต่อประเทศไทยได้ก็ถือว่าจะมีประโยชน์ในการขนส่งสินค้าและการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างจีนกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก
          "จีนให้ความสนใจการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเห็นว่าเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่จะก่อสร้างในลาวไม่สามารถเชื่อมโยงมายังไทยได้ก็จะเสียโอกาสในการขนส่งสินค้า" รมว.คมนาคม กล่าว
          ทั้งนี้ ประเทศจีนจึงขอให้ประเทศไทยสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางที่ผ่านกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังทางออกทะเล ซึ่งในเรื่องดังกล่าวไทยมีแผนรองรับอยู่แล้วที่จะสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไปยังท่าเรือน้ำลึกบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง และอาจขยายเส้นทางไปยังท่าเรือน้ำลึกทวายด้วยในอนาคต
          นอกจากนี้ จากการเดินทางร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบรถไฟความเร็วสูงที่สถานี  St.Pancras เพื่อศึกษาดูงานการบริหารระบบรถไฟความเร็วสูงแบบบูรณาการร่วมกับระบบขนส่งมวลชนอื่นเชื่อมโยงเส้นทางในประเทศและเมืองสำคัญในภูมิภาคยุโรป ระหว่างการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 12-15 พ.ย. ที่ผ่านมา รมว.คมนาคม กล่าวว่า อนาคตไม่เกิน 5-6 ปี จะมีระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงลักษณะนี้ใน กทม. เช่นเดียวกัน โดยอาจจะเชื่อมต่อจากสถานีบางซื่อไปถึงเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน และระบบรางเชื่อมต่อกับต่างประเทศอีกทั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมขอให้ประชาชนร่วมมือเดินหน้าไปด้วยกัน พูดถึงอนาคต ต้องก้าวไปด้วยกัน และต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องการเมือง
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับแผนการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาค โดยใช้รถไฟความเร็วสูง เมืองที่มีศักยภาพพอที่จะมีการเชื่อมต่อได้แก่ กรุงเทพฯ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง โฮจิมินห์ ซิตี้ พนมเปญ ย่างกุ้ง และเวียงจันทน์ ซึ่งการเชื่อมเมืองเหล่านี้เข้าด้วยกันนั้น สามารถแยกเส้นทางการเดินรถออกได้เป็น 4 เส้นทางหลัก
          สำหรับ 4 เส้นทางหลักประกอบด้วย 1. เส้นทางสายเหนือ ความยาว 1,100 กิโลเมตร เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ตาก จากนั้นจึงแยกออกเป็น 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกจะไปสิ้นสุดที่ย่างกุ้ง ส่วนอีกเส้นทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังจังหวัดเชียงราย และเมืองคุนหมิงในประเทศจีนได้ในอนาคต 2. เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ ความยาว 600 กิโลเมตร เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา 
ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ไปสิ้นสุด ณ เวียงจันทน์ ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังฮานอยในประเทศเวียดนามได้ในอนาคต
          3. เส้นทางสายตะวันออก ความยาว 800 กิโลเมตร เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา ไปยังพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และไปสิ้นสุดที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม 4. เส้นทางสายใต้ มีความยาวประมาณ 1,900 กิโลเมตร เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ แล้วตรงไปยังสุราษฎร์ธานี จากนั้นจะแยกออกเป็น 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกจะแยกออกไปยังจังหวัดภูเก็ต ส่วนอีก เส้นทางจะผ่านหาดใหญ่ ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ และไปสิ้นสุดที่ประเทศสิงคโปร์
ที่มา : ทรานสปอร์ต เจอร์นัล

PS เปิด 78 โครงการปีหน้า


วังน้ำเขียว : นายประเสริฐ แต่ดุลย- สาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2556 พฤกษาฯจะเปิดโครงการใหม่ 78 โครงการ มูลค่ารวม 54,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 34,000 ล้านบาท ถือเป็นสถิติรายได้สูงสุดนับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทมา 19 ปี จากปี 2555 คาดว่าจะทำรายได้ตามเป้าหมายที่ 26,000 ล้านบาท นับเป็นรายได้ที่สูงเช่นกัน โดยยอดขายใน ปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่ายอดขายอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
          โดยโครงการในปีหน้าเป็นโครงการแนวราบ ทั้งทาวน์เฮาส์และ บ้านเดี่ยว 70-75% และคอนโดฯ 25-30% หรือประมาณ 14 โครง การ โครงการในต่างประเทศ 2 โครง การ คือที่เวียดนามและอินเดีย ทั้งนี้ จะเห็นการเปิดโครงการในต่างจังหวัด ทั้งภูเก็ต ขอนแก่น ชลบุรี มาก ขึ้น รวมถึงเชียงใหม่ ซึ่งพฤกษาฯเพิ่งเข้าไปเปิดตลาด โดยตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินรวม 6,000 ล้านบาท
ที่มา : โลกวันนี้ 

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นักธุรกิจต่างถิ่นแห่ลงทุนอุดรอสังหาบูมดันราคาที่ดินพุ่งเล็งประตูสู่ประชาคมอาเซียน


           ผู้ว่าฯ อุดร สนับสนุนงาน Thailand Smart Money สัญจรอุดรธานีเต็มที่ หวังกระจายความเจริญสู่อีสาน เผยอุดรเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารมานานแล้ว ขณะนี้นักลงทุนต่างถิ่นเข้ามามาก โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งสูง
          นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ปัจจุบัน นักลงทุนต่างถิ่นเข้ามาอุดรฯ มากขึ้น เมื่อก่อนมีกลุ่มทุนเดียว แต่ขณะนี้มีหลายกลุ่มทุน ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นมาก ส่งผลให้มีการขยายตัวในธุรกิจเรียลเอสเตทจนขณะนี้โรงแรมไม่พอรองรับคนที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจะต้องจองกันก่อนที่จะเข้ามาพัก เพราะขณะนี้อุดรณ์ ถือเป็นประตูที่เข้าไปประเทศลาว เป็นจังหวัดที่ใกล้กับเวียงจันทร์มาก ปัจจุบันพี่น้องชาวลาวก็เข้ามาใช้บริการที่อุดรฯ และมาใช้เงินที่อุดรฯ มากขึ้นเรื่อยๆด้วย เพราะฉะนั้นธุรกรรมและธุรกิจต่างๆ เริ่มพูดกันมากขึ้น
          "ธุรกิจท่องเที่ยวลาวมาคุยกับเรา มาคุยกับนักธุรกิจท่องเที่ยวอุดรฯ ซึ่งลาวจะเริ่มจับมือกันถือเป็นทิศทางที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ซึ่งผมเองมองว่า AEC จะเป็นประโยชน์ โดยอุดรฯ เป็นจังหวัดที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะลาว ของเราค่อนข้างใกล้ชิดและร่วมมือกันมานาน เช่น่ความร่วมมือทางด้านทหาร การฝึกบินเขาก็มาฝึกที่นี่ โรงพยาบาลของอุดรฯ ก็รับบริการชาวลาว อย่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่เปิดขึ้นมา ก็มีกลุ่มเป้าหมายคือผู้บริโภคที่เป็นชาวลาวส่วนหนึ่ง ดังนั้นการเปิดประเทศสู่อาเซียน อุดรฯ น่าจะเป็นจุดศูนย์กลาง เพราะมีสนามบินซึ่งใครจะไปทำธุรกรรมที่ลาวก็จะมาพักที่อุดรฯ เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ รถไฟ รถขนส่งมวลชน อยู่ในความปลอดภัยเพราะจากเส้นทางจากอุดรฯ ไปโคราชถึงกรุงเทพฯ ถือว่าดีมาก น่าจะเป็นฮับได้ในพื้นที่อีสานเหนือ ในเรื่องการคมนราคม โลจิสติกส์"
          นายเสนีย์ ตั้งข้อสังเกตว่า อีสานเหนือค่อนข้างจะฟื้นฟูเร็ว คนก็มีชีวิตแบบโมเดิร์นไลฟ์ คนอุดรฯ เป็นคนที่กล้าใช้เงินกล้าได้กล้าเสีย และมีความเข้าใจในธุรกรรม พ่อค้านักธุรกิจที่นี่ก็รวมตัวเป็นกลุ่มมีสมาคม คือพื้นเพคนอุดรฯ เป็นพ่อค้ากึ่งทุนมีคุณธรรม คือทำการค้าแบบมีคุณธรรม ทำให้ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้่ฉะนั้นความมีคุณธรรมความรู้สึกหวงแหนบ้านเมืองเจริญ ตรงนี้เป็นจุดแข็งของคนอุดรฯ
          "งาน Thailand Smart Money ที่กำลังจะจัดขึ้นที่อุดรฯ ผมเห็นด้วย ที่รู้ๆ ผมเคยเป็นผู้ว่าราขการจังหวัดชลบุรี ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจ ผมว่าน่าจะกระจายความเจริญไปสู่จังหวัดทางภาคอีสาน มีลักษณะที่ทำกิจกรรมแบบภาคกลาบงที่เป็นศูนย์กลาทั้งการเงินการธนาคาร อุดรฯน่าสนใจมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่มีใครเข้ามาทำส่วนใหญ่ทำที่ขอนแก่นและโคราช" นายเสนีย์ กล่าว
ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ 

เซ็นทรัลขึ้นศูนย์ฯใหม่14แห่งทั่วปท.พุทธมณฑล-บางใหญ่-สมุย-สุรินทร์


กลุ่มเซ็นทรัลเตรียมสยายปีกปักธง 14 สาขาใหม่ครอบคลุมเต็มพื้นที่ เดินหน้าโมเดล 2 ผสานนำทัพ "เซ็นทรัลพัฒนา" เจาะหัวเมืองสำคัญ สมุย ระยอง บางใหญ่ พุทธมณฑล ด้าน "เซ็นทรัลรีเทล" รุกพัฒนาพื้นที่เอง ส่ง "โรบินสัน" เปิดตลาดหัวเมืองรอง สุรินทร์ สระบุรี ร้อยเอ็ด ปราจีนบุรี พร้อม สปีดยุทธศาสตร์ควบรวมกิจการหวังโตก้าวกระโดด เป้าหมายรายได้ทะลุ 2 แสนล้านบาท
          ชัดเจนว่าระหว่างปี 2556-2557 ที่จะถึงนี้ เครือเซ็นทรัลธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของไทยจะใช้ความแข็งแกร่งด้านเงินทุน และบุคลากร ขยายสาขาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง จากปัจจุบันมีเครือข่ายสาขา กระจายในเมืองหลัก ๆ ทั่วประเทศอยู่ก่อนแล้ว
          รายงานข่าวจากเครือเซ็นทรัลระบุว่า ช่วงเวลา 2 ปีดังกล่าว การขยายตัวศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลจะเปิดเพิ่มอีก 14 สาขา โดยเป็นการลงทุนในนามของเซ็นทรัลพัฒนาและการหันมาลุยพัฒนาพื้นที่ด้วยตัวเองของเซ็นทรัลรีเทลสำหรับการเติบโตของบริษัทในเครือ โดยที่ผ่านมาโรบินสันได้เริ่มนำร่องทดลองการขยายศูนย์การค้าในรูปแบบสแตนด์อะโลนด้วยตัวเองบ้างแล้ว ในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรองและหัวเมืองขนาดย่อม ทำให้การขยายตัวไปได้รวดเร็วและไม่ต้องรอศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซา ที่มีเซ็นทรัลพัฒนาเปิดสาขาเพียงอย่างเดียว
          ทั้งนี้ตามแผนการลงทุนปี 2556-2557 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เตรียมขยายสาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา 7 แห่ง คาดว่าต้องใช้เงินทุนหลายพันล้านบาท อยู่ในพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี หาดใหญ่ เชียงใหม่ (สาขาที่ 2) เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ในปี 2556
          จากนั้นในปี 2557 จะเปิดศูนย์การค้าอีก 3 แห่ง คือ พุทธมณฑล ระยอง และบางใหญ่ นนทบุรี โดยสาขาพุทธมณฑลอยู่บนถนนบรมราชชนนี เยื้อง ๆ กับโรงพิมพ์วัฏจักรเดิม ขณะนี้เซ็นทรัลกำลังก่อสร้างไทวัสดุ ส่วนบางใหญ่จะอยู่ติดกับบิ๊กซี อย่างไรก็ตามแผนการสร้างศูนย์การค้าของ CPN จะยังไม่มีโครงการที่สวนลุมไนท์และไทเมล่อน รวมอยู่ด้วย
          "การลงทุนสร้างศูนย์การค้าโดยเฉพาะพุทธมณฑลและบางใหญ่ ซึ่งเซ็นทรัลซื้อที่ดินเก็บไว้นานแล้วเพื่อรองรับกับการขยายตัวของชุมชนบริเวณรอบ ๆ กรุงเทพฯ ประกอบกับศูนย์การค้าใกล้เคียงอย่างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มีผู้ใช้บริการหนาแน่นมาก"
          ส่วนจังหวัดในระดับรอง ๆ หรือหัวเมืองขนาดย่อม กลุ่มเซ็นทรัลรีเทลจะเป็นคนพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าด้วยตัวเอง โดยมีโรบินสันเป็นหัวขบวนหลักในการพัฒนาพื้นที่และดึงบริษัทในเครือเข้าไปร่วมเปิด อาทิ เพาเวอร์บาย ท็อปส์ บีทูเอส ซูเปอร์สปอร์ต และออฟฟิศ ดีโป้ เป็นต้น โดยแผนการลงทุนในปี 2556-2557 ในนามบริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) จะเปิดในต่างจังหวัด 7 แห่ง แบ่งเป็นในปี 2556 เปิดที่กาญจนบุรี สกลนคร สุรินทร์ สระบุรี ส่วนปี 2557 จะมีปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และร้อยเอ็ด ควบคู่กับการขยายสาขาของ "โฮมเวิร์ก" ที่เน้นพัฒนาพื้นที่ในลักษณะของสแตนด์ อะโลนไปพร้อม ๆ กัน ตามแผนการลงทุนในช่วง 2 ปีดังกล่าวนี้จะขยายอีก 4 สาขา ที่
ขอนแก่น เชียงใหม่ (แอร์พอร์ตพลาซ่า) แจ้งวัฒนะ และถนนศรีนครินทร์
          ก่อนหน้านี้ นางยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจภายใน 5 ปีของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจะขยาย 5 สาขา ในกรุงเทพฯ 2 สาขา และต่างจังหวัด 3 สาขา ที่จะเปิดบริการก่อนคือ เซ็นทรัลหาดใหญ่ ในเดือนตุลาคม 2556 และเชียงใหม่ สาขา 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ด้วยเงินลงทุนสาขาละ 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 25,000 ตร.ม.
          เช่นเดียวกับการเปิดห้างสรรพสินค้าสาขาในต่างประเทศของกลุ่มเซ็นทรัล ได้เปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และห้างสรรพสินค้าเซ็นในจีนแล้ว 4 สาขา และเตรียมขยายสาขาแรกห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในอาเซียน นำร่องอินโดนีเซียเป็นแห่งแรก
          สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตก้าวกระโดดด้วย "การควบรวมกิจการและการร่วมทุน" จะยังเป็นหัวใจสำคัญของการขยายธุรกิจต่อจากนี้ ไม่เพียงการซื้อกิจการลารีนาเซนเต้ ห้างหรูจากอิตาลี 1 หมื่นล้านบาท แล้วการเข้าถือหุ้นหลักในคอนวีเนียนสโตร์ "แฟมิลี่มาร์ท" หรือการเพิ่มทุนฮุบ "ออฟฟิศเมท" ในธุรกิจอุปกรณ์สำนักงาน
          รวมถึงการยังมีที่ดินแปลงงามในมืออีกหลายแห่ง โดยเฉพาะไทเมล่อน และสวนลุมฯที่เตรียมขึ้นเป็นโปรเจ็กต์ยักษ์ในอนาคตของเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยเป้าหมายการผลักดันยอดขายให้ได้ 2 แสนล้านในเร็ววัน จากปีนี้ที่คาดว่ากลุ่มเซ็นทรัลจะสามารถปิดยอดขายได้ 1.8 แสนล้านบาท
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

ที่อยู่อาศัยภูธรปี 56 กลับมาบูมโรงงานย้ายฐานผลิตไปอีสายอื้อ


มานพ พงศทัต" ชี้ตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดในปี 2556 จะกลับมาคึกคัก เงินกู้ที่อยู่อาศัยขยับขึ้น 15% ขณะที่ตลาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลฟื้นตัวเร็ว ไม่น้อยกว่า 85,000 ยูนิต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้านเผย ขณะนี้ธุรกิจรับสร้างบ้านขยายตลาดไปทั่วประเทศ แบ่งเป็นตลาดต่างจังหวัด 80% ตลาดกรุงเทพฯ 20% ส่วนโรงานอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตไปอยู่อีสานมากขึ้น ทำให้ที่อยู่อาศัยเติบโต โดยเฉพาะนครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น
          ร.ศ.มานพ พงศทัต อาจารย์พิเศษ คณะสถาปัตยกรรม จุฬาฯ กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ "ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 56@ตจว." ซึ่งจัดโดยสมาคมไทยรับสร้างบ้านว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ตัวเลขเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 15% ตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑลฟื้นตัวเร็วจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 85,000 ยูนิต ทั่วประเทศจะมีจำนวน 160,000-170,000 ยูนิต บ้านเดี่ยวทาวน์เฮ้าส์จะโตน้อยลง แต่คอนโดมิเนียมสำหรับคนชั้นกลางติดรถไฟฟ้า จะเติบโตขึ้นมากทีสุด ส่วนตลาดจังหวัดนั้นในจังหวัดใหญ่ เช่น นครราชสีมาและจังหวัดท่องเที่ยว อย่างภูเก็ตและพัทยา ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะโตมากขึ้น นอกจากนี้เมืองชายแดนอย่างอุธรธานี ระนอง จะเติบโตจากการค้าชายแดนที่เป็นผลมาจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558
          ด้าน นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบและรับสร้างบ้านต่างจังหวัด ปัจจุบันธุรกิจรับสร้างบ้านได้ขยายตลาดออกไปทั่วประเทศ แบ่งเป็นตลาดต่างจังหวัด 80% ตลาดกรุงเทพฯ 20% อีกทั้งทิศทางของธุรกิจรับสร้างบ้านมีแนวโน้มดีขึ้นในต่างจังหวัด เพราะคนต่างจังหวัดนิยมสร้างบ้านเองมากกว่าซื้อบ้านจัดสรร
          นายวีรพล จงเจริญใจ อุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์นครราชสีมา ให้ความเห็นว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งย้ายฐานการผลิตไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การจ้างงานเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงปัจจัยบวกจากแผนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคมขนส่งของรัฐบาลส่งผลต่อความต้องการหสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น ทั้งตลาดเช่า ตลาดซื้อ มีแนวโน้มจะเกิดคอนโดมิเนียมประเภทโลว์ไรส์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา อุดรธานี ยโยธร สุรินทร์ และมหาสารคาม.
ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ 

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"ซีทีเอช"รุกขยายโครงข่าย-เสริมคอนเทนท์


           ซีทีเอช" เร่งเครื่องขยายโครงข่ายเคเบิลพรีเมียมทั่วประเทศ ตอกย้ำยุทธศาสตร์ทริปเปิลเพลย์ พร้อมเปิดบริการ ก.พ.56  จับมือผู้ผลิต "บางอ้อ-ทีวีบูรพา-พาโนรามา" ส่งเอ็กซ์คลูซีฟ คอนเทนท์ลงจอ
          นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ ซีทีเอช เปิดเผยว่าจากยุทธศาสตร์การวางโครงข่าย เคเบิลในรูปแบบทริปเปิลเพลย์ การให้บริการทั้งเคเบิลทีวี อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต(VOIP) บริษัทจึงได้ร่วมมือกับบริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) ในการใช้โครงข่ายเคเบิลนำแสงของซิมโฟนี่ฯ ซึ่งถือเป็นโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงระดับพรีเมียม เพื่อเป็นตัวกลางในการส่งข้อมูลทั้งบรอดแคสต์และโทรคมนาคมไปยัง 10 พื้นที่สำคัญของประเทศ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ภูเก็ต สงขลา เป็นต้น ในการขยายโครงข่ายในจังหวัดดังกล่าว ได้ลงทุนเพิ่มอีก 142 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์รวมสัญญาณ Head-N วางระบบให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  "ความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้แผนการขยายโครงข่ายเคเบิลของซีทีเอช ครอบคลุมทั่วประเทศรวดเร็วกว่าเดิม 3 เท่า เพราะเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสามารถให้บริการเคเบิลทีวี ดิจิทัลเต็มรูปแบบได้ในเดือนก.พ.ปีหน้า และให้บริการทริปเปิลเพลย์อย่างสมบูรณ์ช่วงปลายปี 56" นายวิชัยกล่าว
          ขณะที่ก่อนหน้านี้ ซีทีเอชได้ร่วมมือกับบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ในการพัฒนาระบบโครงข่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยอาศัยจุดแข็งของ ทีโอทีที่มีโครงข่ายเคเบิลครอบคลุมทั่วประเทศ 77 จังหวัด 900 อำเภอไปแล้วตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งความร่วมมือระหว่างซิมโฟนี่ฯ และทีโอที จะทำให้แผนการขยายโครงข่ายครอบคลุมทั่วประเทศของซีทีเอช เร็วขึ้น
          นายวิชัย กล่าวอีกว่าได้เตรียมเอ็กซ์ คลูซีฟ คอนเทนท์ เพื่อให้บริการเพิ่มเติมกับ
          ให้บริการเพิ่มเติมกับสมาชิกเคเบิลอีก 4-5 ช่อง โดยร่วมมือกับผู้ผลิตคอนเทนท์ 3-4 ราย เช่น บริษัททีวีบูรพา, บริษัท ดีดอคคิวเมนทารี่ ผู้ผลิตรายการบางอ้อ บริษัท พาโนรามา จำกัด โดยเตรียมให้บริการรูปแบบใหม่ระบบเคเบิล ดิจิทัล ในเดือน ก.พ. 56  พร้อมกันนี้ได้เตรียมรีแบรนดิ้งด้านการ สื่อสารการตลาดของซีทีเอชใหม่ โดยอยู่ระหว่างการวางแผนตราสินค้า ชื่อแบรนด์ คาดจะสรุปได้ในช่วงเดือน ธ.ค.ปีนี้ สำหรับการเข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 3 ฤดูกาลใหม่ คาดว่าจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ มองว่า "ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" เพราะซีทีเอช ยังเป็นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าคอนเทนท์ใหม่ๆ ของซีทีเอชจะสามารถรักษาฐานสมาชิกเดิม และขยายสมาชิกใหม่ตามเป้าได้ 10 ล้านครัวเรือนในปี 2558
          นายอัครเดช ศุภมหิธร รองประธานเจ้าหน้าที่ บริหารงานสายงานเทคโนโลยี ซีทีเอช กล่าวว่าปัจจุบัน โครงข่ายเคเบิลของซีทีเอชครอบคลุมพื้นที่เพียง 1 ใน 8 ของจำนวนครัวเรือนไทยเท่านั้น ซึ่งเดิมเป็นเทคโนโลยี Coax-fiber แต่ขณะนี้กำลังเปลี่ยนเป็นระบบไฟเบอร์ออพติก ซึ่งจะทำให้การบริการโครงข่ายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและมีความเสถียรในการรับชมรายการทีวี
ทีมา ; กรุงเทพธุรกิจ