วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

CSS ลุยเทรดไตรมาส3/56ดึงเงินสยายปีกธุรกิจพม่า


CSS พร้อมเทรดไตรมาส 3/2556 ดึงเงินลงทุนธุรกิจติดตั้งเสาโทรศัพท์ในพม่า คาดไตรมาส 4/2556 เริ่มทยอยรับรู้รายได้ ส่วนปีนี้คาดรายได้แตะ 4 พันล้านบาท หลังตุนงานในมือรวม 1.4 พันล้านบาท
          นายสมพงษ์ กังสวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าไปลงทุนในพม่า เพื่อเข้าไปดำเนินการธุรกิจติดตั้งเสาโทรคมนาคม คาดว่าในไตรมาส 4/2556 จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้บางส่วน และจะเริ่มเห็นมูลค่าที่ชัดเจนขึ้นในปีถัดไป
          "การเข้าไปศึกษารับงานติดตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ในพม่า นั้นเราไปกับพาร์ตเนอร์ด้วยกัน 4 ราย ประกอบด้วย ไวเออร์ไวเลส, BARANLA WIS NEO Work Group และอีกหนึ่งรายไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เรามองว่าพม่าเป็นประเทศที่มีโอกาสการลงทุนสูง เพราะอยู่ระหว่างการพัฒนา" นายสมพงษ์กล่าว
          ส่วนความคืบหน้าของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้น บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมาคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในไตรมาส 3/2556
          ทั้งนี้จะมีการโรดโชว์ข้อมูลของบริษัทในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ตามหัวเมืองใหญ่ ดังนี้ กรุงเทพฯ หาดใหญ่ 
ขอนแก่น และเชียงใหม่ และคาดว่าจะมีการบุ๊กบิวดิ้งราคาหุ้นในช่วงวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ และหวังว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดได้ทันในไตรมาส 3/2556 สำหรับเม็ดเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างคลังสินค้า คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 140 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้ในการลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะพม่า
          "ตอนนี้เราได้จองวันกับตลาดหลักทรัพย์ไว้แล้ว 2 วัน คือ 29 สิงหาคมและ 4 กันยายน ซึ่งก็คงจะเลือกไม่วันใดก็วันหนึ่งในการจะเข้าเทรด แล้วเราก็คงจะดูจากภาวะตลาดด้วย โดยเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเสนอขายประชาชน 190 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการและผู้บริหารและพนักงาน จำนวน 10 ล้านหุ้น" นายสมพงษ์กล่าว
          ส่วนเป้าหมายรายได้ของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.3 พันล้านบาท จากปัจจุบันที่มีงานในมือจากธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับสายไฟฟ้าและอุปกรณ์แล้วประมาณ 700 ล้านบาท รวมถึงงานในมือของธุรกิจการให้บริการติดตั้งระบบงานโทรคมนาคม มูลค่าราว 700 ล้านบาท
ที่มา : ทันหุ้น

'มิสทิน'ตั้งฐานผลิตมาเลย์-อินโดฯผุดโปรเจ็กต์'เบทเตอร์แลนด์'เสริมแกร่งโลจิสติกส์


               แค็ตตาล็อกฟรายเดย์ เร่งเต็มสูบ เพิ่มดีกรีฝากขาย-จัดจำหน่าย มอง "เออีซี" เอื้อขยายตลาด ลูกค้า ฐานผลิตนำร่องผนึกโรงงานอินโดนีเซีย-มาเลเซียร่วมผลิตสินค้า มุ่งสู่ "รีจินอลแบรนด์" ชูจุดแข็งโลจิสติกส์ เปิดดีซีลาดหลุมแก้ว ทุ่ม 2,000 ล้านพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ ขึ้นฮับโลจิสติกส์อาเซียน
                นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงมิสทิน และแค็ตตาล็อกฟรายเดย์กล่าวว่า บริษัทได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่ลาดหลุมแก้วตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บนพื้นที่ 30,000 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้า 10,000 ตร.ม. โดยในเดือนตุลาคมนี้มีแผนเปิดตัว "เบทเตอร์แลนด์" เป็นโปรเจ็กต์ที่จะให้ความสำคัญเรื่องระบบโลจิสติกส์
                ความโดดเด่นอยู่ที่การจัดส่งสินค้าที่มีความสะดวก รวดเร็ว และเหมาะสมกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ซึ่งใช้งบฯลงทุนด้านระบบซอฟต์แวร์ค่อนข้างมาก เตรียมไว้อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุน 10 ปีจากนี้ ที่ผ่านมาได้ซื้อซอฟต์แวร์จากออสเตรียเป็นเงินลงทุน 600 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพในการบริหารการจัดส่งผ่านระบบสแกนบาร์โค้ดและพิกัดจุดในการจัดส่งผ่านระบบเนวิเกชั่น ทำให้การจัดส่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
                 นอกจากนี้ ได้สร้างศูนย์กระจายสินค้าย่อยตามภูมิภาคอีก 6 แห่ง อาทิ ภาคเหนือที่ลำปาง นครสวรรค์ ภาคอีสานที่สุรินทร์ ขอนแก่น ภาคใต้ สุราษฎร์ธานีและหาดใหญ่ มีแผนเพิ่มหน่วยรถส่งสินค้าอีก 30% จากที่มีกว่า 700 คัน ซึ่งจะทำให้การส่งสินค้ารวดเร็วและสามารถระบุเวลาจัดส่งที่แน่นอนได้ โดยตั้งเป้าไม่เกิน 20 นาที

                 "ปัจจุบันศูนย์กระจายสินค้าที่ลาดหลุมแก้ว มีที่ดินทั้งหมด 74 ไร่ ใช้ไปแล้ว 60% สามารถรองรับการเติบโต 5-7 ปีข้างหน้า โดยจะทยอยเปิดใช้งานช่วงแรกอาจรองรับได้ 10% ของออร์เดอร์ และจะเพิ่มเป็น 100% ในเดือนตุลาคมนี้ ด้วยระบบซอฟต์แวร์และการบริหารจัดการ การคมนาคมของไทยที่เชื่อมโยงอาเซียนจะทำให้ศูนย์แห่งนี้เป็นโลจิสติกส์ที่มีความทันสมัยที่สุดในภูมิภาค และเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ในอาเซียนได้" นายดนัยกล่าวและว่า
                ศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าวสามารถรองรับธุรกิจขายตรงมิสทินที่มีสินค้า 4,000 เอสเคยู และแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ 3,500 รายการ รวมถึงรองรับการฝากขายและรับจัดจำหน่ายให้กับแบรนด์อื่น ๆ ผ่านแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ ทั้งนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะเอื้อให้สามารถนำสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศต่าง ๆ ช่วยขยายลูกค้า และใช้เป็นฐานผลิตมากขึ้น โดยรูปแบบมีทั้งบริษัทลงทุนเอง หรือร่วมทุนพัฒนาสินค้าร่วมกัน โดยมีเป้าหมายมุ่งไปสู่การเป็น "รีจินอลแบรนด์"
          ที่ผ่านมาได้เริ่มเข้าไปในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตสินค้าบางกลุ่ม และเตรียมจะนำเข้ามาจัดจำหน่ายในแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ในช่วงต้นปี 2557 อีกประเทศที่น่าสนใจคือ ฟิลิปปินส์
          การทำตลาดในประเทศของแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ เป็นอีกกลยุทธ์ที่จะช่วยสร้างความหลากหลายของสินค้า เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้าเคลื่อนที่ซึ่งจะรุกหนักยิ่งขึ้น โดยตุลาคมนี้จะเปิดโซน "บิวตี้พลาซ่า" ในแค็ตตาล็อกรวบรวมสินค้าความงาม 60 แบรนด์ดังกว่า 400 เอสเคยู ทั้งแบรนด์ที่มีจำหน่ายตามเคาน์เตอร์ แบรนด์ไทย และนำเข้าจากญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย
          นายดนัยกล่าวว่า ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของฟรายเดย์สูงกว่ามิสทิน หรือเฉลี่ยปีละกว่า 10% ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด คาดว่าปีนี้จะปิดรายได้ที่ 5,500 ล้านบาท ถือเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ จากกลุ่มสินค้าที่หลากหลาย เป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นดี รองรับความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ขณะที่มิสทินมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้หญิง
          สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจขายตรงบ้างแล้วที่พม่า ปัจจุบันมีสมาชิก 70,000 ราย เดือนตุลาคมนี้จะเข้าไปลงทุนที่ลาว ใช้งบฯ 40 ล้านบาทเปิดศูนย์ธุรกิจที่เวียงจันทน์ ส่วนกัมพูชาวางแผนเข้าไปปี 2557 คาดว่าตลาดต่างประเทศในปีนี้จะมีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท โดยรายได้หลัก ๆ มาจากพม่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ส่วนในประเทศตั้งเป้าเติบโต 7% คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหรือมากกว่า คิดเป็นรายได้กว่า 13,700 ล้านบาท จากปีที่แล้ว 12,800 ล้านบาท
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

รร.B2 ลุยเจาะตลาดเมืองเล็กปูพรมลงทุนจ่อทะลุ 21สาขา


           กลุ่มโรงแรม "B2" เชียงใหม่ เดินหน้าลงทุนไม่หยุดรับเออีซี ปรับกลยุทธ์มุ่งเจาะตลาดเมืองเล็ก  ปี'57 ทุ่ม 360 ล้านผุด 4 โครงการรวดบุกแม่ฮ่องสอน หัวหิน ชะอำ ปักหมุดกรุงเทพฯสาขาสอง เผยปลายปีนี้เปิดสาขาพัทยาโครงการที่ 3 และภูเก็ต เล็งเปิดสาขาอุดรฯ-ขอนแก่นต้นปีหน้า  พร้อมเตรียมเปิดใช้ระบบชำระเงินจองห้องพักล่วงหน้าผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส-เซเว่นอีเลฟเว่น
          นายพิชัย จาวลา กรรมการบริหารกลุ่มจาวลาเชียงใหม่ กรุ๊ป เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีแผนขยายการลงทุนโรงแรม B2 ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์บูติคราคาประหยัด (Boutique & Budget) อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นเข้าไปลงทุนในเมืองขนาดเล็กที่มีศักยภาพและมีการเคลื่อนไหวในการ เดินทางเพื่อทำงานหรือติดต่อธุรกิจ รวมถึงเมืองท่องเที่ยว
          ในปี 2557 เตรียมลงทุนในเมือง ขนาดเล็ก 3 แห่ง และกรุงเทพฯ 1 แห่ง ด้วยงบประมาณราว 360 ล้านบาท ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน  เป็นโรงแรมแนวรีสอร์ต เน้นการพักผ่อน มีสระว่ายน้ำ มีทั้งหมด 52 ห้อง  ใช้งบฯลงทุนราว 80 ล้านบาท
          เมืองหัวหิน เน้นดีไซน์แบบโคโลเนียลสไตล์ ขนาด 79 ห้อง เงินลงทุน 120 ล้านบาท  และการลงทุนที่ชะอำ อยู่ใกล้ทะเล เน้นความเป็นบูติคสไตล์ ขนาด 60 ห้อง และการลงทุนที่กรุงเทพฯสาขาที่ 2 ตั้งอยู่ใกล้ย่านบางนา จำนวน 50 ห้อง เงินลงทุนราว 80 ล้านบาท การลงทุนทั้ง 4 โครงการ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ภายในต้นปี 2557  คาดว่าจะเปิดบริการได้ปลายปี 2557 หรือช้าสุดกลางปี 2558
          นายพิชัยกล่าวว่า แนวโน้มของโรงแรมแบบ Budget Hotel จะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากมีราคาเฉลี่ยที่ต่ำ จึงต้องมีจำนวนห้องที่มากเพื่อสร้างผลกำไร ดังนั้น B2 จึงมุ่งเน้นแผน การลงทุนขยายสาขาให้ครอบคลุมในจังหวัดที่มีศักยภาพ  รวมทั้งรองรับการเปิด เออีซี ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายคนและ นักท่องเที่ยวจากหลายประเทศเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
          สำหรับโครงการที่เตรียมเปิดบริการปลายปีนี้ คือ B2 พัทยาโครงการที่ 3 ขนาด 79 ห้อง  งบฯลงทุน 120 ล้านบาท และที่ภูเก็ตมูลค่าการลงทุน 120 ล้านบาท ส่วนการลงทุนที่ภาอีสานกำลังก่อสร้างโรงแรมในจังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น เงินลงทุนแห่งละ 120 ล้านบาท ขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้ากว่า 50% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2557

          นายพิชัยกล่าวอีกว่า ฐานลูกค้าหลักของ B2 มุ่งเน้นกลุ่มคนไทยที่เดินทางเพื่อทำงานหรือติดต่อธุรกิจเฉลี่ย 80% ที่เหลือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและ ต่างชาติ ในช่วงโลว์ซีซั่นมีอัตราการ เข้าพักอยู่ที่ 70-80% และช่วงไฮซีซั่น 90% ปัจจุบันเครือโรงแรม B2 เปิดบริการแล้ว 19 แห่ง ประกอบด้วยเชียงใหม่ 13 แห่ง ลำปาง 1 แห่ง เชียงราย 2 แห่ง กรุงเทพฯ 1 แห่ง พัทยา 2 แห่ง  หากรวมสาขา ที่จะเปิดบริการปลายปีนี้ที่พัทยาและภูเก็ต จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 21 แห่ง
          ด้านนายนิรันดร์ จาวลา กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท GPCM Group จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารจัดการเครือโรงแรม B2 กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการวางระบบการจองห้องพักแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์แบรนด์ B2 โดยลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสและเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขา ขณะเดียวกันก็ยังสามารถชำระผ่านบัตรเครดิตและโอนเงินผ่านธนาคาร หากมีการจองห้องพักล่วงหน้า โดยระบบการจองห้องพัก และการชำระเงินล่วงหน้าของ B2 จะเปิดให้บริการได้ราวปลายปีนี้
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ขยายศูนย์ทั่วประเทศ


เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ย้ำภาพผู้นำด้านเทคโนโลยีแก๊สรถยนต์ของเมืองไทย เร่งปฏิรูปและยกระดับมาตรฐานการติดตั้งให้กับตัวแทนจำหน่าย พร้อมเปิดตัวศูนย์ต้นแบบที่ลาดกระบัง เพื่อให้นักลงทุนและผู้ประกอบการที่สนใจในธุรกิจพลังงานทดแทนได้ศึกษาการปฏิบัติงานจริงและระบบภายในของศูนย์บริการอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งจะเป็นศูนย์ติดตั้งแก๊สครบวงจรให้บริการทั้งระบบแก๊สและน้ำมันครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ และความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคที่ต้องการติดตั้งแก๊สในศูนย์บริการมาตรฐานอย่างแท้จริง อีกทั้งเพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของธุรกิจแก๊สรถยนต์ที่สร้างผลตอบแทนให้กับเจ้าของกิจการที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามประชากรรถยนต์ ภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน ตั้งเป้าขยายศูนย์ที่ได้มาตรฐานเพื่อรองรับลูกค้าจำนวนกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ
          นายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอนเนอร์จี รีฟอร์ม จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ติดตั้งแก๊สรถยนต์ทั้งในระบบ NGV และ LPG มากกว่า 1,300,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 33% ของรถยนต์ที่จดทะเบียนในเมืองไทย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคัน ในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้พบว่าจากสถิติรถจดทะเบียนที่กรมขนส่งทางบกฯ ยังมีรถยนต์อีก 33% หรือราว 2,500,000 คัน ที่ต้องการติดตั้งแก๊สรถยนต์ ซึ่งยังไม่รวมรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ในการดำเนินธุรกิจ ในฐานะที่เอนเนอร์จี รีฟอร์ม เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแก๊สรถยนต์ทั้งระบบ NGV, LPG และเครื่องยนต์ดีเซล ด้วยชุดอุปกรณ์ระบบหัวฉีดก๊าซจากอิตาลีที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับระดับโลก จึงมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมธุรกิจติดตั้งอุปกรณ์แก๊สรถยนต์ให้ดีขึ้น เพื่อจูงใจให้เจ้าของรถหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่ถูกกว่าและสะอาดกว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยลดภาระค่าเชื้อเพลิงได้มากกว่า 60% ต่อเดือน แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะและความปลอดภัยที่เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ให้ความสำคัญมาโดยตลอดกว่า 7 ปี โดยโครงการนี้ได้พร้อมเชิญชวนนักลงทุน ผู้ประกอบการธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจอื่นๆ ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการให้มากขึ้น โดยบริษัทพร้อมให้การสนับสนุนเรื่องของการฝึกอบรมทางด้านเทคนิค การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนทั้งระบบ รวมถึงให้การสนับสนุนการตลาดเต็มรูปแบบ

          ทางด้าน นายสุรชัย นิตติวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอนเนอร์จี รีฟอร์ม จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้เปิดศูนย์บริการลาดกระบังขึ้น บนถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง พื้นที่ 2 ไร่ เพื่อเป็นศูนย์ให้บริการต้นแบบและศูนย์แห่งการเรียนรู้ทั้งระบบ การติดตั้งแก๊สที่ได้มาตรฐานระดับโลก อุปกรณ์ติดตั้งแก๊สของเอนเนอร์จี รีฟอร์ม คัดเลือกสินค้าที่ดีที่สุด นำเข้าจากประเทศอิตาลี ผ่านมาตรฐานยุโรปรับรอง ECE67 R01 และ ECE R110 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ที่บังคับใช้กับอุปกรณ์แก๊สรถยนต์ และผ่านข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบก นอกจากนี้ศูนย์ต้นแบบ เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ยังได้มาตรฐานต่างๆ ประกอบไปด้วยมาตรฐานการออกแบบทั้งภายนอกและภายในศูนย์บริการครบวงจร เอาใจใส่ทุกขั้นตอน การให้บริการและการทำงานมาตรฐานการติดตั้ง ราคา และการรับประกันเหมือนกันทั่วประเทศ มาตรฐานระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ตั้งแต่การนัดลูกค้า เปิดจ๊อบ การติดตั้งชุดอุปกรณ์แก๊ส คลังสินค้า ตลอดจนระบบบัญชี-การเงิน และที่สำคัญมาตรฐานการควบคุมคุณภาพและฝึกอบรม
          ทั้งนี้รูปแบบการลงทุนศูนย์บริการใช้เงินลงทุนประมาณ 4-15 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับทำเล ที่ตั้ง ขนาดของศูนย์บริการ และลักษณะการให้บริการ โดยการลงทุนดังกล่าวจะมีระยะเวลาการคืนทุนประมาณ 2 ปี และผลตอบแทนโครงการ (IRR) สูงมากกว่า 50%
          ธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากคุณภาพของระบบแก๊สแล้ว คือศูนย์บริการที่ต้องได้มาตรฐาน เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน การสนับสนุนและยกระดับผู้ประกอบการติดตั้งแก๊สรถยนต์ให้มีมาตรฐานถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งมั่นศึกษาและพัฒนาเพื่อเป็นต้นแบบให้นักลงทุน ผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ และผู้ประกอบการธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและบริการที่ดี และพร้อมจะพัฒนาธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า โดยเอนเนอร์จี รีฟอร์มพร้อมจะให้คำปรึกษาและแนะนำ รวมถึงการฝึกอบรม และการตลาดแบบครบวงจรด้วย
          ปัจจุบันศูนย์ Exclusive Dealer แห่งแรกของ ENERGY REFORM ตั้งอยู่ที่ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 12 แห่ง ประกอบไปด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญ สมานแก๊ส เซอร์วิส ลาดพร้าว, บริษัท ไฮ ฟิวเจอร์ จำกัด (พระราม 3), บริษัทโอท๊อป เซอร์วิส จำกัด พระยาสุเรนท์, บริษัท เอสเคทีแอ็คเซสเซอรี่ จำกัด นนทบุรี, บริษัท ไฮฟิวเจอร์ จำกัด (กิ่งแก้ว) สมุทรปราการ, บริษัท เค ซี ออโต้ชอพ จำกัด ชลบุรี, บริษัท เอสทีอาร์ 2013 จากัด ระยอง, บริษัทซี เค ออโต้เวอร์ค จำกัด ระยอง บริษัทมิตรดีเซลกำแพงเพชร 2013 จำกัด กำแพงเพชร, บริษัทเอ็กซ์-ไลน์ แอลพีจี จำกัด นครสวรรค์, บริษัท สุรนคร ออโต้ จำกัด นครราชสีมา, บริษัท ซี เค ออโต้คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด พิษณุโลก และ Volvo ขอนแก่น รายอื่นนอกจากนี้อยู่ในช่วงเขียนแบบและขออนุญาตก่อสร้าง\
ที่มา : บ้านเมือง

ฟองสบู่โผล่ลูกค้าทิ้งดาวน์คอนโดจัดสรรภูธรปรับแผนชะลอโครงการ


          จับตาฟองสบู่อสังหาฯต่างจังหวัด ลูกค้าเก็งกำไรแล้วทิ้งดาวน์เริ่มโผล่ "ซีนิท แอสเสท" เมืองขอนแก่นเผยมีลูกค้าคอนโดฯเดอะเฮาส์ ที่เพิ่งเปิดขายต้นปีทิ้งดาวน์ 20 ยูนิต "พาวิลเลี่ยน พร็อพเพอร์ตี้" ทุนท้องถิ่นอุดรฯ ปรับแผนชะลอสร้างบ้านใหม่ "เดลิเซีย" กลุ่มทุนระยองชี้ลูกค้าเริ่มไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ยืดเวลาผ่อนดาวน์ลดภาระลูกค้า
          ผู้สื่อข่าวสำรวจสถานการณ์อสังหา ริมทรัพย์ในต่างจังหวัดพบว่า ขณะนี้ มีบางจังหวัดเริ่มมีลูกค้าคอนโดมิเนียมทิ้งดาวน์เกิดขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการ อสังหาฯบางรายยอมรับว่า ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อชะลอตัว เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกังวลภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงฟองสบู่อสังหาฯ ทำให้ตัดสินใจซื้อยากขึ้น
          ขอนแก่นลูกค้าทิ้งดาวน์โผล่
          แหล่งข่าวจากบริษัท ซีนิท แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะเฮาส์ จ.ขอนแก่น ปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้พบว่ามีลูกค้าบางส่วนที่จองโครงการเดอะเฮาส์ของบริษัทตั้งแต่ช่วงต้นปีประมาณ 20 ยูนิตเริ่มทิ้งดาวน์ แต่ถือว่ายังไม่มากนัก เพราะคิดเป็นสัดส่วน 4-5% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด ล่าสุดบริษัทจึงได้ยึดห้องเหล่านี้เพื่อนำกลับมาขายใหม่
          ทั้งนี้ เมื่อต้นปีบริษัทเปิดตัวคอนโดฯเดอะเฮาส์ จำนวนรวม 414 ยูนิต ราคาขายเริ่ม 6-7 หมื่นบาท/ตร.ม. และปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว แต่ล่าสุดเมื่อช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีลูกค้าบางส่วนไม่ผ่อนดาวน์และไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงเปิดตัวโครงการบริษัทได้พยายามออกมาตรการป้องกันกลุ่มนักเก็งกำไร โดยจำกัดการซื้อรายละไม่เกิน 2 ยูนิต
          แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า จากการสอบถามเพื่อนผู้ประกอบการอสังหาฯด้วยกันพบว่า ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อคอนโดฯในต่างจังหวัดชะลอตัวลง ปัจจัยหลักเกิดจาก 2 ส่วน 1) ผู้บริโภคกังวลกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และความเสี่ยงเกิดฟองสบู่อสังหาฯ 2) ซัพพลายคอนโดฯที่ออกมามากขึ้นทำให้ยอดขายแต่ละโครงการเริ่มช้าลง ประเมินว่าปัจจุบันในขอนแก่นมีซัพพลายคอนโดฯสะสมประมาณ 30 โครงการ 1 หมื่นยูนิต ในจำนวนนี้น่าจะเหลือขาย 6-7 พันยูนิต
          "ยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดคอนโดฯในขอนแก่นอนนี้แตกต่างจากเมื่อ 3-4 เดือนก่อน หลังจากนี้เราเตรียมลงมือก่อสร้างคอนโดฯ และคอมมิวนิตี้มอลล์ตามแผนที่วางไว้ แต่โครงการใหม่ในอนาคตต้องรอดูสถานการณ์ก่อน" แหล่งข่าวกล่าว
          อุดรฯ จุกอก-แข่งขันสูง
          นางพรทิพย์ ธนศรีวนิชชัย กรรมการบริหาร บริษัท พาวิลเลี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบ้านหรรษา จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น โดยมีแนวโน้มจะต้องชะลอการสร้างบ้านใหม่ จากเดิมที่เร่งสร้างเพราะมีปัญหาแรงงานขาดแคลน
          จากการประเมินแนวโน้มพบว่า ปัจจัยเกิดจากลูกค้ากังวลสถานการณ์เศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อบ้านเริ่มชะลอตัว และการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการสูงขึ้น ขณะที่สถาบันการเงินก็เข้มงวดเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ หรืออนุมัติแต่ให้วงเงินลดลง ทำให้ลูกค้าที่ใช้เงินกู้ซื้อบ้านได้ยากขึ้น
          นางพรทิพย์กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเปิดขายโครงการบ้านหรรษา เป็นบ้านชั้นเดียว ราคาเริ่มยูนิตละ 1.9 ล้านบาท สิ่งที่พบคือกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่เข้ามาอยู่อาศัยในอุดรฯ โดยแต่งงาน กับหญิงไทยและซื้อบ้านไว้อยู่อาศัยมีจำนวนลดลงไป 40-50% ลูกค้าคนไทยก็ลดลง 20%
          "การลงทุนอสังหาฯตอนนี้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายกลาง-รายเล็กที่สายป่านไม่ยาวพอก็ต้องระมัดระวัง เพราะไม่ได้ขายดีเหมือนปีที่ผ่านมา สำหรับเราถ้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ก็คงรอปี'57 หรือปี'58 ไปเลย" นางพรทิพย์กล่าว
          ระยองยืดดาวน์-ตั้งแผนสำรอง
          นายปรีชา อริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลิเซีย จำกัด ผู้พัฒนาโครงการเดอะวิสดอม แกรนด์ดิออส คอนโดมิเนียม จ.ระยอง เปิดเผยว่า จากความกังวลของผู้บริโภคเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และการแข่งขันที่สูงขึ้นในพื้นที่ระยอง ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมายอมรับว่าโครงการเดอะวิสดอมฯเริ่มมียอดขายช้าลง เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่เพิ่งเปิดตัวโครงการ
          ทั้งนี้ ถึงแม้ปัจจุบันโครงการเดอะวิส ดอมฯเปิดขายมาได้ 4-5 เดือน มียอดขายสะสมเกินกว่า 50% ของยูนิต รวม 330 ยูนิต แต่บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ล่าสุดเพิ่งปรับแผนเพื่อเร่งปิดการขายให้เร็วที่สุด เริ่มจากขยายเวลาผ่อนเงินดาวน์ นานขึ้น จากเดิม 18 เดือนเป็น 24 เดือน เพื่อให้มีภาระเงินผ่อนต่องวดลดลง ควบคู่กับเตรียมเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ และเร่งเจรจาขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อนำเงินมาใช้ก่อสร้างโครงการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
          "สถานการณ์ตอนนี้ยอมรับว่าคงต้องใช้เวลาปิดการขายนานขึ้น จากเดิมตั้งเป้าจะจบภายในสิ้นปีนี้ คงต้องเลื่อนเป้าเป็นภายในไตรมาสแรกปีหน้า ผมยังมีแผนสำรองอีกในกรณีที่คอนโดฯสร้างเสร็จ แต่ยังทำยอดขายได้ไม่ถึง 75% จะใช้วิธีตั้งบริษัทขึ้นมาอีก 1 บริษัทเพื่อรับซื้อคอนโดฯ ส่วนที่เหลือมาปล่อยเช่า" นายปรีชากล่าว
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขอนแก่นจัดระเบียบเมืองรับอาเซียน-มีผล 1 ก.ค.นี้


เทศบาลนคร เร่งทำความเข้าใจผู้ประกอบการป้ายโฆษณาพร้อมจัดทำตัวอย่างกรอบป้ายถาวรจัดระเบียบเป็นเมืองซิตี้บอร์ดรับอาเซียน พร้อมบังคับใช้ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา
          นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธ์ นายกเทศมนตรีนคขอนแก่น กล่าวว่า จากที่มีการประชุมทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดระเบียบ การติดตั้งป้าย พร้อมประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานรัฐ เอกชนที่เข้ามาลงทุน มุ่งหวังให้ขอนแก่นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรับจัดทำป้ายโฆษณาที่ต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าให้จัดทำป้ายตามขนาดที่พอดีกับกรอบป้ายถาวรที่เทศบาลจะนำไปติดตั้งตามถนนสายหลักและสายรองโดยตั้งเป้ามีผลบังคับใช้ 1 กรกฎาคม
          “การทำให้ขอนแก่นป็นเมืองซิตี้บอร์ดนั้น ได้เร่งระดมทำความเข้าใจให้กับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรับผลิตป้ายบริษัท ห้างร้าน หน่วยงานราชการที่ต้องจัดทำป้ายตามขนาดให้พอเหมาะกับกรอบมาตรฐานที่เทศบาลจัดทำขึ้น เพื่อให้นำป้ายไปติดตั้งตามจุดที่เทศบาลกำหนดไว้เท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อความเป็นระเบียบ การดูแลเมืองให้สะอาด น่าอยู่ ปลอดภัย
          สำหรับกรอบป้ายโฆษณาที่จะนำไปติดตั้งในที่สาธารณะขนาด 1.2x2.0 เมตร จำนวน 1,002 ป้ายบนถนนสายรอง 21 สาย ตามรหัสที่กำหนดไว้ บริเวณถนนสายหลัก 9 สาย ที่เทศบาลจะอนุญาติให้ติดตั้งในแบบพิเศษผ่านบริษัทที่ทำสัญญากับเทศบาล และบริเวณถนนสายรอบนอกและซอยติดตั้งตามรหัสที่กำหนดไว้ 100 จุด
          ส่วนบริษัทห้างร้านที่ต้องการขออนุญาตดำเนินการติดตั้ง ติดต่อได้ที่ฝ่ายสุขาภิบาล โดยป้ายที่ได้รับอนุญาตจะมีตราสัญลัษณ์ประทับบนป้าย กำหนดเวลาติดตั้งป้าย 1 เดือน ติดตั้งได้ไม่เกิน 30 ป้ายต่อ 1 โฆษณา ค่าธรรมเนียม 200 บาทต่อป้าย หากพบมีการฝ่าฝืนหรือกระทำผิด เทศกิจจะเรียกเสียค่าปรับและเก็บป้ายโฆษณาด้วย
ที่มา : คม ชัด ลึก