วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชู'ขอนแก่น'จังหวัดน่าอยู่ที่สุดในโลก


         เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ห้องมงกุฎเพชร โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานพิธีประชุมวิชาการเชิงปฏิบัติการ "รวมพลคนดี ทำสิ่งดี สังคมดี" โดย นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ดำเนินการในโครงการพยาบาลชุมชนกับการพัฒนารูปแบบการสร้างสุขภาวะชุมชนเพื่อสร้างเมืองขอนแก่นให้เป็นจังหวัดที่น่าอยู่ที่สุดในโลก มีผู้เข้าร่วมโครงการจากพยาบาลชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือสถานีอนามัย ปราชญ์ชาวบ้าน และเยาวชนจิตอาสา ประมาณ 1,000 คน ภายในงานได้จัดนิทรรศการพืชผักสวนครัว สถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน ผลิตอาหารปลอดสารเคมี และศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน
          นพ.วีระพันธ์เปิดเผยว่า การจัดการประชุมเพื่อพัฒนาให้ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่น่าอยู่ที่สุดในโลก โดย รพ.ขอนแก่นเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมมาทุกปี เพื่อระดมความคิดเห็น รวมพลังพัฒนาให้จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน และพัฒนาให้จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่น่าอยู่ที่สุดในโลก โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการดำเนินงานสู่การปฏิบัติ กำหนดระยะเวลาการดำเนินการเป็น 3 ระยะ ระหว่างปี 2552-2560 ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่มา : มติชน

สดจากพื้นที่เจาะเศรษฐกิจ ขอนแก่น-อุดรธานี: จับตาธุรกิจอสังหาฯ ขอนแก่น(4) ตลาดส่งสัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย


 แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ เมืองขอนแก่นในยามนี้อาจไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น หรือพีกสุดเหมือนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว และกำลังซื้อในอนาคตของผู้บริโภคถูกดึงมาใช้ล่วงหน้าจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล
          ทั้งนี้ "กูรู" ในพื้นที่ก็เริ่มออกมาส่งสัญญาณธุรกิจอสังหาฯเมืองดอกคูนว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับปัญหาสินค้าล้นตลาด (โอเวอร์ซัพพลาย) ในกลุ่มคอนโดมิเนียม จากการเข้าไปโหมลงทุนของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่จาก ส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นค่ายแสนสิริ, ซี.พี.แลนด์ และทุนท้องถิ่น ขณะที่สถาบันการเงินก็เริ่มเข้มงวดปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค โดยเฉพาะ ผู้บริโภคที่มีภาระในการผ่อนค่างวดโครงการรถยนต์คันแรก
          ในแง่ของการลงทุน ที่อยู่อาศัยดาวรุ่ง ในพื้นที่นี้ต้องยกให้ "คอนโดมิเนียม" ทำเลที่มีโครงการเกิดขึ้นมากที่สุดอยู่บริเวณถนนมิตรภาพใกล้กับประตูเมืองขอนแก่น และบริเวณใกล้กับศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นย่านการค้า การลงทุน ขณะที่โครงการแนวราบโซนฮอตใหม่กระจายตัวอยู่บริเวณรอบเมืองและถนนสายหลัก โดยเฉพาะบริเวณริมบึง "หนองโคตร"  "ชาญณรงค์ บุริสตระกูล" ประธานชมรมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตัวเมืองจังหวัดขอนแก่นเริ่มเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาโครงการแนวสูงมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ ขณะที่ทำเลชานเมืองจะเป็นโครงการแนวราบ ทำเลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ได้แก่ ถนนมะลิวัลย์ บริเวณบึงหนองโคตร ใกล้กับถนนเลี่ยงเมือง
          "ขอนแก่นเป็นตลาดเกิดใหม่สำหรับคอนโดมิเนียม เพราะเริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯเข้ามาลงทุน ทำให้มีซัพพลายมากกว่าดีมานด์ คงต้อง ใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง กว่าจะดูดซับได้หมด"
          "ชาญณรงค์" บอกว่า ปัจจุบันต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 12% มีสาเหตุมาจากราคาวัสดุและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการต้องปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่า 7% อีกปัญหาที่พบคือ บ้านสร้างเสร็จไม่ทันส่งมอบตามสัญญา เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนักจนเกิดปัญหาแย่งชิงแรงงานระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นกับ ผู้ประกอบการรายใหญ่
          ราคาที่ดินพุ่ง 100%
          ด้าน "สุเมธ เอี่ยมไกรอมร" ดีเวลอปเปอร์ ท้องถิ่น กล่าวว่า ราคาที่ดินบริเวณ บึงหนองโคตรเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่นและส่วนกลางเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก โดยราคาที่ดินที่ไม่ติดถนนใหญ่อยู่ที่ 4-5 ล้านบาท/ไร่ จากเดิมมีราคาขายอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท/ไร่ ส่วนที่ดินติดถนนใหญ่และอยู่ริมบึง ราคาขายอยู่ที่ 6-10 ล้านบาท/ไร่
          "โครงการจัดสรรที่ผุดขึ้นจำนวนมากในเขตอำเภอเมืองขณะนี้ เริ่มทำให้การขอติดตั้งมิเตอร์น้ำประปาและไฟฟ้าของโครงการมีความล่าช้ามาก บางครั้งต้องใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์ ส่งผล กระทบต่อลูกค้าที่ต้องการย้ายเข้าอาศัย หลังจากที่โอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ โครงการด้วย แนวทางแก้ปัญหาคือ ยื่นเอกสารขอติดตั้งสาธารณูปโภคในชื่อของบริษัทก่อนในช่วงแรกที่จะโอนให้ลูกค้าในภายหลัง"
          คอนโดฯทะลัก 8,000 ยูนิต
          สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสานมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ECBER) ที่เผย ผลสำรวจคอนโดฯในเขตอำเภอเมือง ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงสิ้นไตรมาสแรกปี 2556 มี 39 อาคาร อีก 8 อาคาร เปิดให้จองซื้อในปี 2553-2554 รวม 47 อาคาร โดยมีห้องชุดเปิดขายรวมทั้งสิ้น 5,664 ยูนิต หากนับรวมกับโครงการที่คาดว่าจะเปิดขายในอนาคตอีก 2,366 ยูนิต จะทำให้มียูนิตรวมกว่า 8,030 ยูนิต ทั้งนี้ ยังไม่รวมโครงการที่เปิดก่อนปี 2555 ที่เหลือขายอยู่อีก 698 ยูนิต ขายได้แล้ว 3,820 ยูนิต หรือ 67.4% คงเหลืออุปทานในตลาด ทั้งสิ้น 1,844 ยูนิต หรือมียูนิตเหลือขาย คิดเป็น 32.6%
          ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า ตัวเลข ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตลาดคอนโดฯ ในจังหวัดขอนแก่นมีอุปทาน (ซัพพลาย) เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะถูกจองซื้อไปแล้วกว่า 70% แต่โครงการส่วนใหญ่ ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งผู้ประกอบการและผู้ซื้อยังมีความเสี่ยง หากไม่สามารถ สร้างให้เสร็จได้ตามสัญญา หรือ ผู้ซื้อไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ หาก เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์ (ดีมานด์) ขึ้นในอนาคต อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาค ธุรกิจอสังหาฯในจังหวัดขอนแก่นได้
          บึงหนองโคตร ทำเลฮอต
          ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ลงสำรวจทำเลฮอตในการพัฒนาอสังหาฯของ จังหวัดขอนแก่น พบว่าการลงทุนได้ ขยายไปทางทิศตะวันตกของตัวเมือง โดยเฉพาะพื้นที่ตลอดแนวถนนมะลิวัลย์ตัดถนนเลี่ยงเมืองขอนแก่น-อุดรธานี เป็นโซนที่มีโครงการจัดสรรเกิดขึ้น หนาแน่น ส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์
          ส่วนทำเลที่มีโครงการเกิดขึ้นหนาตามากที่สุดไม่ต่ำกว่า 20 โครงการ อยู่บริเวณรอบบึงหนองโคตร ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่น เคาะราคาขายตั้งแต่ 2 ล้านบาท ถึง 10 ล้านบาทขึ้นไป และมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากส่วนกลางเข้าไปทำตลาดแข่งกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ได้แก่ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท
          สำหรับพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของตัวเมืองขอนแก่นเป็นพื้นที่ลุ่มของเมือง ปัจจุบันมีโครงการจัดสรรเกิดขึ้นจำนวนมากบริเวณบึงแก่นนครและบึงทุ่งสร้างที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 1,600 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม ผู้ประกอบการท้องถิ่น อาทิ กลุ่มอีสานพิมานกรุ๊ป และกลุ่มวีไอพีแกรนด์ ส่วนทิศเหนือที่เชื่อมไปสู่มหาวิทยาลัย ขอนแก่น ปัจจุบันเริ่มมีการลงทุนคอนโดฯ 8-10 ชั้น จับตลาดกลุ่มนักศึกษา
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 


ไอบริกดันธุรกิจป้ายโฆษณาบุกอาเซียน


ประเดิมตลาด "เวียดนาม-ลาว พม่า" หวังปั้นไทยขึ้นฮับภูมิภาค
          "ไอบริก" หนุนผู้ประกอบการไทยเปิดตลาดธุรกิจป้ายโฆษณา "เวียดนาม-ลาว-พม่า" รับเปิดตลาดเออีซี ชี้ศักยภาพฮับอาเซียน  เผยกระแสป้ายดิจิทัลโตต่อเนื่อง ทุ่ม 50 ล้าน จัดงาน "ไซน์ เอเชีย เอ็กซ์โป-แอลอีดี&ดิจิทัล ไซน์2013" คาดเม็ดเงินสะพัด 800 ล้าน
          นายสักกฉัฐ ศิวะบวร กรรมการผู้จัดการ บริษัทไอบริก จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจัดงานแสดงสินค้าป้ายและโฆษณา เปิดเผยว่าประเทศไทยมีความพร้อมและศักยภาพหลายด้านที่จะก้าวสู่การเป็น "ศูนย์กลาง" ของธุรกิจป้ายและโฆษณา ในภูมิภาคอาเซียน โดยจีน ไต้หวัน  เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ต่างสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายเทคโนโลยีไปสู่กลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ เวียดนาม  ลาว และพม่า เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศมีศักยภาพและเศรษฐกิจเติบโตสูง
          "พม่าเป็นประเทศที่น่าสนใจด้านการลงทุน ขณะที่เวียดนามเป็นประเทศทั้งคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญของไทยในการขยายการลงทุน ส่วน ลาว ถือเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด และพฤติกรรมผู้บริโภคเหมือนไทย"
          ทั้งนี้ จะนำผู้ประกอบการและนักธุรกิจของไทยเข้าไปศึกษาและดูงานใน 3 ประเทศ โดยเจรจากับทางทูตพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ในแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุน เพื่อให้รับรู้ข้อมูลของอุตสาหกรรมและบริษัทท้องถิ่นที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจผ่านการจัดงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวกับธุรกิจป้ายและโฆษณา ในทางกลับกันจะนำนักธุรกิจจากทั้ง 3 ประเทศ เข้ามาศึกษาดูงานในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และเลือกไทยเป็นประเทศแรกในการขยายธุรกิจ
          โดยเตรียมจัดงาน SIGN ASIA EXPO 2013 และงาน  LED & DIGITAL SIGN 2013 ภายใต้งบประมาณ 50 ล้านบาท รวบรวมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจป้ายและโฆษณา รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆรวมทั้งสื่อดิจิทัล กว่า 540 บูธ จาก 30 ประเทศมาจัดแสดงบนพื้นที่ 1 หมื่นตร.ม. จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-17 พ.ย. 2556 ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดจากการเจรจาธุรกิจภายในงาน 800 ล้านบาท และมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 1.2 หมื่นราย
          "เราจะอาศัยการจัดงานทั้ง 2 งาน เป็นเวทีกลางเปิดตลาดต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล เทคโนโลยี ความคิดเห็น  พร้อมนำร่องเดินสายโรดโชว์จัดงานใน 3 ประเทศดังกล่าว ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ และพร้อมเดินสายจัดงานให้ครบ 10 ประเทศอาเซียน ภายในปี 2557 เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี" นายสักกฉัฐ กล่าว
          สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมป้ายโฆษณาและสื่อนอกบ้านปีที่ผ่านมามูลค่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น สื่อกลางแจ้ง(outdoor) สัดส่วน 40% สื่อในร้านค้า(in store) 20% สื่อเคลื่อนที่(transit) 20%  และป้ายดิจิทัล 20% โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านการเติบโตเล็กน้อย  ส่วนช่วงครึ่งปีหลังคาดเติบโตเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของภาคธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการใช้สื่อดั้งเดิมและป้ายดิจิทัลมากขึ้น ทำให้สิ้นปีนี้ตัวเลขเติบโตอยู่ที่ 10-15% คิดเป็นมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท
          "เทรนด์การใช้สื่อโฆษณาของไทยให้ความสำคัญกับป้ายดิจิทัลเพิ่มขึ้น พบเติบโต 30% หรือมีมูลค่า 3,500 ล้านบาท คาดว่าในช่วง 3-5 ปีจากนี้ สัดส่วนเพิ่มเป็น 50% มาจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยและต้นทุนที่ถูกลง สวนทางกับป้ายโฆษณาเดิมที่เติบโตลดลง 5% เป็นผลมาจากกระแสนิยมสื่อดิจิทัล ประกอบกับเดิมป้ายเดิมหมดสัมปทานและกฎหมายคุมเข้มป้ายโฆษณาของกรุงเทพมหานคร"  นายสักกฉัฐ กล่าว
          อย่างใรก็ตามทิศทางสื่อนอกบ้านยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการตื่นตัวจากนโยบายการเปิดเออีซี ในปี 2558 ทำให้ธุรกิจป้ายและโฆษณาขยายตัวไปยังหัวเมืองในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะชลบุรี เชียงใหม่ พิษณุโลก ลำปาง ขอนแก่นอุดรธานี ภูเก็ต และสงขลา
          เทรนด์การใช้สื่อโฆษณาของไทยให้ความสำคัญกับป้ายดิจิทัลเพิ่มขึ้
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

เทสโก้ปรับโมเดลขยายสาขาเลิกลงทุนเอง-เช่าพื้นที่แทน


              ยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัส" เปิดสูตรขยายสาขา รูปแบบใหม่ ปิ๊งไอเดียให้ผู้รับเหมาทำเทิร์นคีย์ หาที่ดิน-พัฒนา-ก่อสร้าง พลิกบทบาทของตัวเองมาเป็น ผู้เช่าระยะยาว วงการชี้วิธีนี้ช่วยลดกระแสต้าน และจะช่วยให้ขยายสาขาได้เร็วขึ้น
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขยายธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) โดยเฉพาะกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต ซี่งมีเทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดนั้น ล่าสุดเทสโก้ โลตัสได้ปรับกลยุทธ์การขยายสาขาอย่างน่าสนใจ และเป็นที่จับตาในวงการค้าปลีก หากประสบความสำเร็จจะทำให้การขยายเป็นไปอย่างก้าวกระโดด
          กลยุทธ์การขยายสาขาใหม่ของยักษ์ใหญ่รายนี้ คือเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งรับงานจากเทสโก้ โลตัสอยู่แล้ว จัดหาเงินทุน ที่ดินในทำเลดี ๆ และก่อสร้างสาขา โดยที่เทสโก้ โลตัสจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ว่าจ้างมาเป็นผู้เช่าพื้นที่ ล่าสุดโมเดล ดังกล่าวถูกนำมาใช้แล้วในการขยายสาขา ที่จังหวัดสงขลา ดำเนินการโดยบริษัทฤทธา ซึ่งรับเหมาก่อสร้างสาขาให้เทสโก้ โลตัสมาอย่างยาวนานนั่นเอง
          "เทสโก้ โลตัสเชิญชวนผู้รับเหมาหลายราย แต่ที่ตอบตกลงมีเพียงฤทธา ซึ่งมีทั้งเงินทุนและความแข็งแกร่งทางธุรกิจ รายเดียว เป็นไปได้ว่ารายอื่น ๆ อาจรอดูว่าโมเดลนี้จะประสบความสำเร็จแค่ไหน" รายงานข่าวระบุ
          แหล่งข่าวจากบริษัท ฤทธา จำกัด ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารรายใหญ่ กล่าวยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีแผนร่วมลงทุนกับโลตัสจริง โดยฤทธาเป็นผู้จัดหาที่ดินและลงทุนก่อสร้างอาคาร จากนั้นทางโลตัสจะเป็นผู้ทำสัญญาเช่าระยะยาว
          "ถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ จากเดิมที่โลตัสจะเป็นผู้ว่าจ้างให้เราก่อสร้างอาคารให้ โดยสาขานำร่องจะอยู่ที่ จ.สงขลา ตามแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการภายในเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้" แหล่งข่าวกล่าว
          ทั้งนี้ บริษัท ฤทธา จำกัด เป็น บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ช่วงปี 2530 หรือประมาณ 25-26 ปี มีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% เป็นบริษัท ที่เน้นรับงานโครงการเอกชนเป็นหลัก และถือเป็นผู้รับเหมาอันดับท็อปไฟฟ์ของ ประเทศ สัดส่วนการรับงานจะแบ่ง 4 กลุ่มหลัก คือธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะเทสโก้ โลตัสเป็นลูกค้าหลัก, โรงแรม, โรงงาน, คอนโดมิเนียม สัดส่วนรับงานอย่างละ 25%
          จากการสอบถามเรื่องดังกล่าวไป ยังเทสโก้ โลตัส นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า "เทสโก้ โลตัสมี นโยบายลงทุนในประเทศไทยอย่าง ต่อเนื่อง โดยการลงทุนขยายสาขาจะใช้วิธีการหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการร่วมมือกับผู้รับเหมา และยกระดับผู้รับเหมาเป็นเจ้าของอาคาร โดยมี รายได้ที่แน่นอนจากผู้เช่าที่มั่นคง ก็คือเทสโก้ โลตัส ทั้งนี้ยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่ใช้ขยายสาขาควบคู่ไปด้วย"
          ผู้คร่ำหวอดในวงการค้าปลีกระบุว่า กลยุทธ์ใหม่ของเทสโก้ โลตัสจะทำให้บริหารเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากเดิมต้องใช้เงินทุนก้อนใหญ่ 400-600 ล้านบาท ในการก่อสร้างสาขาขนาดใหญ่ เมื่อเปลี่ยนการเช่า ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลดไปเยอะ ขณะเดียวกัน วิธีนี้ทำให้การขยายสาขาเร็วขึ้นด้วย
          วิธีการนี้ยังสามารถลดแรงต้านใน ท้องถิ่น เพราะเทสโก้ โลตัสไม่ได้เปิดหน้าตั้งแต่แรก หากเป็นผู้รับเหมาที่ออกหน้า
          "ไฮเปอร์มาร์เก็ตจะเติบโตด้วยการขยายสาขาใหม่ จึงทำให้เทสโก้และบิ๊กซีต้องขยายสาขาจำนวนมากทุกปี" ผู้คร่ำหวอด รายนี้กล่าว
          ก่อนหน้านี้ นายจอห์น คริสตี้ ประธานกรรมการบริหารเทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เคยให้สัมภาษณ์ถึงแผนการลงทุนปี 2556 ว่า มีแผนใช้งบฯลงทุน 18,000 ล้านบาท สำหรับการขยาย 300 สาขาใหม่ ควบคู่การรีโนเวตสาขาเดิมกว่า 1,000 สาขา และเปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่
ขอนแก่น
          โดยตั้งแต่ต้นปี เทสโก้ โลตัสได้ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสาขา 1,500 สาขา จาก 1,400 สาขา เมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเทสโก้ โลตัสมีหลายโมเดลสาขา ประกอบด้วย เอ็กซ์ตร้า  ไฮเปอร์มาร์เก็ต คุ้มค่า ตลาดโลตัส และเอ็กซ์เพรส
          สำหรับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันมีการขยายสาขาทั้งในลักษณะของการซื้อที่ดิน และเช่าที่ดิน เพื่อก่อสร้างและเปิดสาขาให้บริการ และในปีนี้เตรียมงบฯลงทุนไว้ 8,000 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขาทุกโมเดล ประกอบด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ต 6 สาขา บิ๊กซี มาร์เก็ต 13 สาขา มินิบิ๊กซี 150 สาขา และร้านขายยาเพรียว 50 สาขา ส่วนโมเดลอื่น ๆ อาทิ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า และบิ๊กซีจัมโบ้ ซึ่งเพิ่งเปิดสาขาที่ 2 ของบิ๊กซีจัมโบ้ และมีแผนทยอยเปิดเพิ่มอีก 8 แห่ง
          ส่วนแม็คโคร เมื่อปี 2555 มี 57 สาขา ตามแผนในปีนี้จะเปิดสาขาใหม่อย่างน้อย 3 สาขา อาทิ มุกดาหาร สตูล และตราด แต่ละสาขาใช้งบฯลงทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ปัจจุบันมีโมเดลร้านแม็คโคร ที่มีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มโชห่วย และแม็คโคร ฟู้ด เซอร์วิส เน้นกลุ่มลูกค้าโฮเรก้า
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กว้านซื้อที่อีสานผุดนิคมฯ รับ AEC


          "บีโอไอ" เผยพื้นที่ภาคอีสานตอนบนเนื้อหอม นักลงทุนต่างชาติยังแห่กว้านซื้อที่เพื่อตั้งนิคมฯ และตั้งโรงงานรองรับ AEC ล่าสุดจีนกว้านซื้อที่ขอนแก่น 4.1 พันไร่ เล็งตั้งนิคมฯ สีเขียว ขณะที่อุดรธานีจ่อผุดเขตอุตฯ 2 พันไร่ ขณะที่ร้านค้าวัสดุก่อสร้างผุดรับก่อสร้าง บูมเพียบ
           น.ส.รัตนวิมล นารี ศุกรีเขตร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติสนใจเข้ามาดูพื้นที่สำหรับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและการตั้งโรงงานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ที่การค้าและการลงทุนจะขยายตัวสูง
          ล่าสุดนักลงทุนจีนได้เข้ามาทยอยซื้อพื้นที่ใน อ.ท่าพระ จ.ขอนแก่นแล้ว 4,100 ไร่ เพื่อจัดตั้งนิคมฯ สีเขียว โดยมีการตั้งบริษัทร่วมทุนกับไทย ซึ่งพื้นที่เดิมส่วนใหญ่ปลูกมันสำปะหลัง โดยกำลังรอการประกาศผังเมืองรวมของจังหวัดอยู่ คาดว่าจะใช้เวลาการพัฒนา 1-2 ปี ขณะเดียวกัน ล่าสุด บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี ยังได้รับการส่งเสริมกิจการเขตอุตสาหกรรมพื้นที่ 2,000 ไร่ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,250 ล้านบาท ตั้งโครงการที่อำเภอเมือง จ.อุดรธานี
          น.ส.รัตนวิมล กล่าวว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่ภาคอีสานตอนบนที่มีการขยายตัวค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ล่าสุดยังส่งผลให้ร้านค้าก่อสร้าง และวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ มีการขยายตัวตามค่อนข้างสูง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการป้อนตลาดภายในประเทศเท่านั้น ยังพบว่ามีแรงซื้อจากประเทศเพื่อนบ้านที่ติดชายแดนข้ามมาซื้อจำนวนมากอีกด้วย
          สำหรับทิศทางการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เดือน ก.ค.56 มีทั้งสิ้น 6 โครงการ เงินลงทุน 387 ล้านบาท โดยทั้งโครงการและเงินลงทุนขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 20% และ 13.56% ตามลำดับ และการลงทุน 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.56) มีทั้งสิ้น 36 กิจการ เงินลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม กิจการที่ได้รับความสนใจส่วนใหญ่เป็นกิจการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร
          "กิจการที่ได้รับการส่งเสริมฯ เดือน ก.ค.ล่าสุด ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากธรรมชาติ ของ บ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผลิตยางแท่งและยางผสม มูลค่าลงทุน 614 ล้านบาท ที่ จ.กาฬสินธุ์ และของนายเกียรติ กิตติกุลเสรีคำ มีกำลังการผลิตยางแท่งและยางผสม มูลค่า 1,715 ล้านบาท ที่ จ.อุดรธานี กิจการขยายการผลิตชิ้นส่วนของ บ.พานาโซนิค แมนูแฟกเจอริ่ง (ประเทศไทย) ลงทุน 57.8 ล้านบาท ที่ จ.ขอนแก่น เป็นต้น" น.ส.รัตนวิมล กล่าว
          สำหรับปัญหาแรงงานขณะนี้ยอมรับว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการในพื้นที่ว่ายังคงมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งระบบมีฝีมือและไร้ฝีมือ แม้ว่าจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเท่ากัน 300 บาทต่อวันแล้ว ก็ยังไม่ได้จูงใจให้เกิดการย้ายแรงงานกลับภูมิลำเนาเท่าที่ควรจะเป็นนัก เนื่องจากพบว่าบางจังหวัดเอง เช่น จ.ขอนแก่น ก็ไม่ได้มีค่าครองชีพที่ต่ำเมื่อเทียบกับอยู่ในพื้นที่แถบนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ขณะเดียวกัน ในมาบตาพุดมีโรงงานค่อนข้างมากกลับมีโอกาสเคลื่อนย้ายแรงงานได้ง่ายกว่า
ที่มา : บ้านเมือง 


รพ.สัตว์ทองหล่อรุกคืบขยายสาขาใน-นอกประเทศ ภายในปี ' 58 ตั้งเป้าฟัน 1 พันล.


           โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเปิดแผนธุรกิจพร้อมทุ่มงบลงทุนขยายสาขาช่วง 2 ปีจากนี้ เพิ่มอีก 12 แห่ง รวม 200-300 ล้าน ตั้งเป้าปี 2558 ฟันรายได้ถึง 1 พันล้าน ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เกินกว่า 400 ล้านเติบโต 25% พร้อมส่องกล้องเออีซีเปิด ถือโอกาสของผู้ประกอบการไทย
          นายบุญชู ทองเจริญพูลพร กรรมการผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจด้านบริการรักษาสัตว์ในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา มีการขยายตัวสูงมากแต่ละปีมีการเติบโตกว่า 15% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นการเติบโตติดต่อกันมากว่า 10 ปีแล้ว รวมถึงในปัจจุบันเมื่อพิจารณาด้านการแข่งขันก็มีความรุนแรงไม่น้อย โดยแต่ละรายมีการชูคุณภาพการรักษาและการบริการพร้อมกับมีการพัฒนาสถานที่ใช้บริการ ขณะที่ในแง่ผู้เลี้ยงก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเกิน 10% ทุกปี จากที่หลายคนหันมาให้ความสนใจนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น
          ทั้งนี้ ในส่วนของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อมีนโยบายที่จะตอบสนองให้บริการลูกค้าอย่างทั่วถึง โดยช่วงที่ผ่านมาได้มีการใช้เม็ดเงินในการขยายสาขาพร้อมกับพัฒนาการบริการเพื่อตอบสนองลูกค้าที่พาสัตว์เลี้ยงเข้ามารักษาได้พึงพอใจสูงสุด ซึ่งล่าสุดนี้ได้ใช้งบกว่า 30 ล้านบาทขยายสาขาที่ 9 ที่ถนนพระราม 2 โดยสาขาแห่งนี้เป็นสาขาขนาดใหญ่มีพื้นที่เกิน 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป มีบริการรักษาสัตว์เลี้ยง สระว่ายน้ำ เทรนนิ่ง เพ็ทช็อปครบวงจร
          "เฉพาะปีนี้ เราได้ใช้เม็ดเงินจำนวน 100 - 150 ล้านบาท ในการขยาย 6 สาขา ประกอบด้วย สาขารามอินทรา พระราม 2 เกษตรนวมินทร์ 
ขอนแก่น เชียงใหม่ และที่ชลบุรี ส่วนปีหน้าก็จะใช้เม็ดเงินจำนวนใกล้เคียงกัน ขยายเพิ่มอีก 6 สาขา ซึ่งมีทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเท่าๆ กัน ซึ่งแผนการขยายสาขานับจากปี 2557 จะมีการขยายสาขาปีละ 2 แห่ง"
          สำหรับรูปแบบการขยายสาขานั้น จะมีทั้งขนาดเล็ก พื้นที่ 300-500 ตารางเมตร ใช้งบไม่เกิน 10 ล้านบาท ขนาดกลางพื้นที่ 500 - 1,000 ตารางเมตรใช้งบลงทุน 15 ล้านบาท และขนาดใหญ่พื้นที่เกิน 1,000 ตารางเมตร ขึ้นไปใช้งบเกิน 30 ล้านบาท โดยแผนการลงทุนขยายสาขานับตั้งแต่ปีหน้า จะเป็นขนาดใดนั้น จะขึ้นอยู่กับพื้นที่หรือทำเลที่บริษัทซื้อหรือเช่า
          "เรามีการใช้งบทำตลาด 5% ของรายได้ รวมในแต่ละปี ขณะเดียวกัน ได้ตั้งเป้าหมายอีก 2 ปีจากนี้ จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยเป้าหมายภายในปี 2558 ตั้งไว้ว่าจะมีรายได้ถึง 1 พันล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้ารายได้เกิน 400 ล้านบาทเติบโตกว่า 25% จากปีก่อนมีรายได้เกือน 400 ล้านบาท เติบโต 20%"
          นายบุญชูเปิดเผยถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซีในปี 2558 ว่าเป็นโอกาสดีของธุรกิจด้านบริการรักษาสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ที่จะมีโอกาสได้ขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการของไทยสามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการแต่ละราย โดยเฉพาะของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อที่จะมีการขยายตัวในธุรกิจซึ่งได้มองประเทศสิงค์โปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และเวียดนามในการขยายสาขาในอนาคต
ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ 

ขายตรงไทยบูมอีก2ปียอดแตะแสนล.


            ธุรกิจขายตรงไทยเฟื่องรับเปิดเออีซี คาดตัวเลขพุ่งแตะแสนล้านในอีก 1-2 ปี ปัจจุบันเกือบ 7 หมื่นล้าน คาดบริษัทข้ามชาติจ่อยกขบวนเข้าทำตลาด นายกสมาคมการขายตรงไทยมั่นใจโอกาสอีกมหาศาล เล็งผนึกบริษัทขายตรง ต่างชาติ จัดตั้งสมาพันธ์การขายตรอาเซียน
          นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิอาเซียนปี 2558 เป็นโอกาสของอุตสาหกรรมขายตรง เชื่อว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าขยับขึ้นไปถึง 1 แสนล้านบาทได้ ปัจจุบันอุตฯขายตรงของไทยมีมูลค่า 68,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 10% ต่อปี หรือ 9.48% ทั้งนี้ ระหว่างปี 2551-2555 มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 11.39% เนื่องจากการเข้ามาของบริษัทขายตรงรายใหม่ ๆ เป็นธุรกิจขายตรงหลายชั้น (MLM) มีสัดส่วน 82.7% ขายตรงชั้นเดียว (SLM) 18.9% และ รูปแบบอื่น ๆ อีก 2.5%

          จากศักยภาพและโอกาสดังกล่าว เมื่อเปิดเออีซีจะมีบริษัทขายตรงต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเริ่มสังเกตพบว่ามีบริษัทจากในประเทอาเซียนเข้ามาสำรวจตลาดบ้าง ขณะที่ทางสมาคมการขายตรงไทยก็มีแผนร่วมมือกับบริษัทขายตรงในอาเซียน
 จัดตั้งสมาพันธ์การขายตรงอาเซียน คาดว่า 2 ปีข้างหน้า หรือก่อนเปิดเออีซีจะเห็นความชัดเจน ขณะเดียวกันทางสมาคมเริ่มเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง รวมถึงนักธุรกิจให้มีความรู้และเตรียมรับมือ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างแบรนด์ อะแวร์เนส
          "เออีซีเป็นเค้กอันหอมหวาน เมื่อดูจากตัวเลขของสมาพันธ์ขายตรงโลก พบว่าตลาด
อาเซียนเติบโต 10% ยังไม่นับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มก่อตั้ง และไม่ได้เปิดอย่างเต็มรูปแบบ จึงค่อนข้างน่าสนใจ เมื่อเทียบกับขายตรงโลกที่มีการขยายตัวแค่ 5%"
          ทั้งนี้ จากตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่าปัจจุบันมีสมาชิกผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงจำนวน 1,000 บริษัท จากการสำรวจ 800 บริษัท พบว่ามีความเคลื่อนไหว ต่อเนื่อง 353 บริษัท โดยตั้งแต่ต้นปีมีบริษัทใหม่ยื่นขอจดทะเบียน 381 บริษัท และในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ สคบ.เตรียมประชุมหารือการจัดฐานข้อมูลสินค้า ที่มีจำหน่ายผ่านช่องทางขายตรง และมี นโยบายมอบตราสัญลักษณ์ของสินค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค
          ขณะที่ตลาดหลักในอาเซียน
 ประกอบด้วย 6 ประเทศคือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย โดยปี 2555 มีรายได้รวมกัน 3 แสนล้านบาท เวียดนามมีอัตราการเติบโต 21.7% มาเลเซีย 16.4% อินโดนีเซียเติบโต 9.1% ไทยเติบโต 10.3% สิงคโปร์ 6.4% ฟิลิปปินส์ 2.29% หากเทียบจำนวนประชากรต่อคนทำธุรกิจขายตรงในมาเลเซียอยู่ที่ 1 : 6 ไทย 1 : 6 สิงคโปร์ 1 : 13 อินโดนีเซีย 1 : 27 ฟิลิปปินส์ 1 : 32 เวียดนาม 1 : 79"
          นายกิจธวัชยังได้ฉายภาพเทรนด์ขายตรงของไทยว่า ประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1.สุขภาพ จากตัวเลขคนรับประทานผักมีสัดส่วนลดลง 2.คนที่มีน้ำหนักส่วนเกินมีแนวโน้มมากขึ้น จาก 4.4 ล้านคนเป็นโรคอ้วน คาดว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนเพิ่มเป็น 24 ล้านคน 3.ความเครียด มีตัวเลขว่าคนไทยติดอันดับ 5 ของโลก
          4.ครัวเรือนมีขนาดเล็กลง ทำให้ความต้องการสินค้าขนาดใหญ่ลดลง และแนวโน้ม สินค้าชิ้นเล็กขายดีขึ้น 5.เข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ ทำให้สินค้าสำหรับผู้ใหญ่และสินค้ากลุ่มกระดูกและข้อได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น 6.สินค้าที่ต้องการการใช้ต่อเนื่องได้รับความสนใจน้อยลง เพราะ ผู้บริโภคต้องการเลือกใช้สินค้าที่ให้ผลลัพธ์เร็ว 7.ปัจจุบันสินค้าออกใหม่มีจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรม เพื่อสร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้า
          และสุดท้ายคือปัจจัยเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคน ดังนั้นในฐานะธุรกิจเครือข่าย จึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีในการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้โซเชียลมีเดียเข้ามาสื่อสารการตลาด เพราะปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อตามความเห็นของคนรอบข้าง (Second Opinion) จากเดิมที่มีโฆษณาเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นหลัก
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อบจ.ขอนแก่นปรับ 25 ทางเดินรถรองรับเปิดบขส.แห่งใหม่/เตรียมพร้อมก้าวสู่เออีซี


ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)ขอนแก่น กล่าวว่า การบริหารจัดการสถานีขนส่งทั้ง 3 แห่งได้แยกการกำกับควบคุมออกเป็น 2 หน่วยงานหลักประกอบด้วย สถานีขนส่งแห่งที่ 1 และ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนั้นขึ้นตรงกับเทศบาลนครขอนแก่น ขณะที่สถานีขนส่งแห่งที่ 3 นั้นอยู่ภายใต้การกำกับของ อบจ.ขอนแก่น ภายใต้แนวคิดของการแยกสถานีขนส่งออกเป็น 2 ลักษณะ ประกอบด้วย สถานีขนส่งผู้โดยสารในเมือง คือแห่งที่1 และ 2 เป็นสถานีเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารที่เดินทางในระยะใกล้เพื่อให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการเป็นประจำได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง
          ดร.พงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในขณะที่สถานีขนส่งผู้โดยสารนอกเมือง หรือ บขส.แห่งที่ 3 ที่ อบจ.กำกับและควบคุมนั้น จะเป็นสถานที่เชื่อมต่อเพื่อกระจายการเดินทางระยะไกล เช่น จากกรุงเทพฯ หรือการเดินทางข้ามภาค จึงทำให้รูปแบบการก่อสร้าง บขส.แห่งนี้จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารในภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ตัวอาคารเป็น2 ชั้น มีระบบบันไดเลื่อนบริเวณที่พักรอสำหรับผู้โดยสารกว้างขวาง โดยรถที่ได้กำหนดให้ทำการรับ-ส่งผู้โดยสารในสถานีนี้จะอยู่ในหมวด2รถต้นทาง/ปลายทางกรุงเทพฯ และเส้นทางหมวด 3 รถระหว่างจังหวัดรวมไปถึงหมวดรถโดยสารระหว่างประเทศ
          "ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไปการเปิดให้บริการผู้โดยสารของสถานีขนส่งแห่งที่ 3 นั้นจะเป็นไปอย่างเต็มรูปแบบทั้งระบบ โดยที่ตั้งของสถานีขนส่งแห่งใหม่นั้นจะตั้งอยู่บริเวณถนนวงแหวนรอบเมืองขอนแก่นด้านทิศตะวันตก เส้นทางเลี่ยงเมือง จ.เมืองเก่าอ.เมืองขอนแก่นบนพื้นที่ 20 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจาก บขส.แห่งที่ 1 และ 2 ประมาณ 7 กม. อยู่ห่างจาก ถ.มิตรภาพ ประมาณ 600 เมตรเรียกได้ว่าเป็นจุดตัดที่สมบูรณ์แบบสำหรับรถทั้งฝั่งขาขึ้นและขาล่องที่จะเข้ามาในเขตเมืองซึ่งจากจำนวนเที่ยวรถที่จะต้องวิ่งเข้า-ออก ในบขส.ดังกล่าวที่มากถึง 339 เที่ยวต่อวันจะสามารถให้บริการผู้โดยสารไม่น้อยกว่าวันละ10,000-15,000 คน ดังนั้น แผนการพัฒนาจากนี้ไปคือการยกระดับให้ บขส.แห่งนี้เป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งในประเภทรถโดยสารปรับอากาศชั้น 1 และ 2 รวมไปถึงรถโดยสารธรรมดา ชั้น 3 และรถตู้โดยสารของกลุ่มภูมิภาคภาคอีสานตอนบนและยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางการเดินรถสาธารณะที่สมบูรณ์แบบที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย" นายกอบจ.ขอนแก่น กล่าวและว่า
          นายก อบจ.ขอนแก่น กล่าวเพิ่มเติมว่าหากสรุปจำนวนรถที่จะใช้บริการที่สถานีขนส่งแห่งนี้ จะประกอบด้วย 25 เส้นทาง 339 เที่ยว/วัน แยกเป็น หมวด 1 จำนวน 6 เส้นทาง จำนวน 52 เที่ยว หมวด 2 จำนวน 10 เส้นทาง จำนวน 211 เที่ยว หมวด 3 ย้ายจำนวน13 เส้นทาง จำนวน 74 เที่ยว และรถระหว่างประเทศ จำนวน 1 เส้นทาง จำนวน2 เที่ยว ในขณะที่การเชื่อมต่อการเดินทางไปยัง บขส.แห่งใหม่นั้นได้มีการปรับเส้นทางรถโดยสาร หมวด 1 9 เส้นทาง
ที่มา : สยามรัฐ

สดจากพื้นที่: พลิกโฉมเศรษฐกิจขอนแก่น(1)บิ๊กโคล่า-กระทิงแดง-จีนแห่ลงทุนท้องถิ่นเนรมิต'อาเซียนเวิลด์-ไมซ์ซิตี้'


แม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวตาม เทรนด์เศรษฐกิจโลกแต่ในพื้นที่ หัวเมืองใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานยังคงมีการลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้นไม่ขาดสาย
          ทีมข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ลงพื้นที่สำรวจเศรษฐกิจจังหวัด
ขอนแก่น บว่า การลงทุนคึกคักสวนกระแสมาก  เนื่องจากมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งทุนไทย ทุนต่างชาติ
          และทุนในท้องถิ่นเดินหน้าทุ่มเม็ดเงิน ลงทุน เพื่อตั้งฐานการผลิตบุกตลาดส่งออกกลุ่มประเทศอินโดจีนและอาเซียน อาทิ ค่ายน้ำดำบิ๊กโคล่าจากประเทศเปรู กลุ่มกระทิงแดง และกลุ่มทุนท้องถิ่นเตรียมลงขัน 1,000 ล้านบาทลงทุนโครงการอาเซียนเวิลด์ แม็กเนตท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางเมือง ขณะที่ทุนจีนได้รุกคืบมาร่วมทุนกับคนไทยเตรียมแจ้งเกิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของจังหวัดขอนแก่น

          มหานครแห่งอาเซียนนายสมิง ยิ้มศิริ ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตามแผนพัฒนาจังหวัดขอนแก่น (2557-2560) มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ขอนแก่นเป็นมหานครแห่งอาเซียน ภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก อาทิ 1) การพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง และมีความสามารถในการแข่งขัน โดยลดต้นทุนการผลิตภาคการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายตลาดใหม่ 2) ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนานวัตกรรมสิ่งทอ, บรรจุภัณฑ์ และการทำตลาดเชิงรุก
          3) พัฒนาประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า การลงทุน บริการและเทคโนโลยีพลังงานทดแทน 4) พัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวและการบริการ และ 5) เชื่อมโยงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเข้ากับโครงการลงทุนของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่สายชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร โครงการพัฒนาโครงข่ายถนนเพื่อผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งของภูมิภาค  เช่น การปรับปรุงทางหลวงสายหลัก เป็นต้น
 หอการค้าปั้น "ขอนแก่นแบรนด์"

          นายเข็มชาติ สมใจวงษ์ รองประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่นกล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาของจังหวัดขอนแก่น ภายใน 3 ปีมีแผนที่จะผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและสัมมนาระดับอาเซียน (ไมซ์ซิตี้) เนื่องจากมีศักยภาพความพร้อม เช่น มีห้องพักมากกว่า 5,000 ห้อง ขณะเดียวกัน ยังมี
          เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และอพาร์ตเมนต์กว่า 10,000 ห้อง มีห้องสัมมนาขนาดใหญ่รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 3,000 คน
          สำหรับบทบาทของหอการค้าจังหวัดขอนแก่นในฐานะหน่วยงานภาคเอกชน มีแผนจะจัดทำตราสัญลักษณ์ หรือ "ขอนแก่นบรนด์" ซึ่งจะใช้เป็นโลโก้ติดสินค้าของฝาก/ของที่ระลึกที่เป็นผลิตภัณฑ์ของจังหวัด คลอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม สินค้าโอท็อป ระดับ 3 ดาวขึ้นไป โดยสินค้าที่ติดโลโก้
          ดังกล่าวจะการันตีด้านคุณภาพระดับสากล คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนตุลาคม 2556 นี้
          เนรมิต "อาเซียนเวิลด์" นายเข็มชาติกล่าวถึงการลงทุนใหม่ใน พื้นที่ ว่า ขณะนี้หอการค้าจังหวัดขอนแก่นได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีแผนที่จะสร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระดับอาเซียน ภายใต้ชื่อ "อาเซียนเวิลด์" บนเนื้อที่ประมาณ 1,600 ไร่ บริเวณบึงทุ่งสร้าง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็น
          พื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครขอนแก่น คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
          รูปแบบการลงทุนจะพัฒนาให้เป็น ศูนย์รวมสถาปัตยกรรม แหล่งท่องเที่ยวด้านอาหาร วัฒนธรรมของประเทศใน กลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นศึกษาความเป็น ไปได้ของโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในต้นปี 2557 ซึ่งโครงการนี้จะเป็นแม่เหล็กใหม่ของการท่องเที่ยว เพื่อรองรับการเป็นศูนย์การ จัดประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติในอีก 3 ปีข้างหน้า และจะสามารถสร้างอุตสาหกรรม ต่อเนื่องได้อีกจำนวนมาก
          ด้านความเคลื่อนไหวการลงทุนในพื้นที่อื่น ๆ พบว่าขณะนี้มีกลุ่มทุนจากประเทศเปรูเตรียมเข้ามาตั้งโรงงานผลิตน้ำอัดลม บิ๊กโคล่า เพื่อเป็นฐานการผลิตส่งออกไปในอินโดจีน
          นอกจากนี้ ยังมีตระกูลอยู่วิทยา ของกลุ่มกระทิงแดง ได้ซื้อที่ดินใกล้กับเขื่อนอุบลรัตน์เพื่อตั้งโรงงานเป็นฐานผลิตสินค้าส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน และในเร็วๆนี้จะมีการเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของจังหวัด บริเวณแยกท่าพระติดกับโรงงานเบียร์ลีโอของตระกูลภิรมย์ภักดี เนื้อที่ประมาณ 4,000 ไร่ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างทุนไทยและจีน ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90%
          ค้าปลีก-ค้าส่งเฟื่องฟูขณะที่ภาคค้าปลีกในเมืองขอนแก่นก็ร้อนแรงเช่นกัน เพราะมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้นหลายโครงการ  "ชวลิต  ประตูน้ำขอนแก่น" ประธานกรรมการบริษัทประตูน้ำขอนแก่น จำกัด บิ๊กค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ในจังหวัดขอนแก่นอกว่า ภาคการค้าปลีกค้าส่งมีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากเศรษฐกิจในจังหวัดขยายตัวประชาชนยังคงมีกำลังซื้อ  ในเร็ว ๆ นี้ประตูน้ำขอนแก่นเตรียม ทุ่มงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท ขยายพื้นที่ให้เช่าเฟส 6 อีก 700 ไร่ สามารถเพิ่มร้านค้าให้เช่า 200 ร้านค้า จากเดิมที่สามรถรองรับได้ 600 ร้านค้า และจะสร้างสวนน้ำขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็น แม่เหล็กทางการท่องเที่ยวดึงดูดผู้คน เข้ามาช็อปปิ้งที่ประตูน้ำขอนแก่น
          นอกจากนี้ กลุ่มทุนวราศิริ - แฟรี่พล่าซ่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และห้าง สรรพสินค้า เตรียมที่จะเปิดตัวโครงการ อู้ฟู่   ค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ บริเวณใกล้กับประตูน้ำขอนแก่น
          คลื่นลงทุนยังคงหลั่งไหลเข้าไปตั้งฐานการผลิตที่ขอนแก่น รวมถึงการลงทุนของกลุ่มทุนรายใหญ่ในท้องถิ่นกำลังจะพลิกโฉมเมืองขอนแก่นนเร็ว ๆ นี้
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ