วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขอประชาสัมพันธ์โครงการ Khon Kaen ' SMEs Business School !!!


ผลสำรวจ SMEs อีสานรับผลกระทบปรับค่าแรงฯ


   เผยผลสำรวจผู้ประกอบการ SMEs ในภาคอีสานส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น กำไรสุทธิลดลง ผู้ประกอบการ 2 ใน 3 ยังจ่ายค่าแรงต่ำกว่า 300 บาท/วัน และ 1 ใน 4 มีแผนจะปรับลดลูกจ้างคนไทยออก
          
ขอนแก่น/ เมื่อเร็วๆ นี้ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ( มข.) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ทำการสำรวจ "ผลกระทบและการปรับตัวต่อนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันของ SMEs อีสาน ไตรมาส 3 ปี 2556" โดยสุ่มสอบถามเจ้าของกิจการในภาคอีสาน จำนวน 670 ราย ในเขตพื้นที่ 4 จังหวัดใหญ่ในภาคอีสาน ได้แก่ ขอนแก่นนครราชสีมา อุดรธานี และอุบลราชธานี
          ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการสำรวจอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มข. เปิดเผยถึงผลการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังจ่ายค่าแรงต่ำกว่า 300 บาท/วัน คิดเป็นร้อยละ 66.9 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เนื่องจากรายได้ของผู้ประกอบการบางรายไม่คุ้มทุน หากต้องจ้างตามนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาล ทั้งยังมีผู้ประกอบการบางรายจ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงหรือจ้างเหมาชิ้น จึงทำให้รวมแล้วค่าจ้างรวมไม่ถึง 300 บาทต่อวัน ในขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการที่จัดบ้านพักและอาหารแก่ลูกจ้าง จึงทำให้ค่าแรงที่จ้างไม่ถึง 300 บาทต่อวันเช่นกัน
          ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในด้านต้นทุนค่าแรงงานสูงขึ้น ส่งผลให้ได้กำไรน้อยลงและมีการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้นคิดเป็นร้อยละ 69.1 โดยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในระดับปานกลางคิดเป็นร้อยละ 37.3 แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถปรับตัวได้คิดเป็นร้อยละ 96.1 ซึ่งการปรับตัวของผู้ประกอบการมีร้อยละ 33.7 จะยังคงไม่ลดจำนวนลูกจ้างลง ณ ตอนนี้
          แต่มีถึงร้อยละ 26.3 ที่มีแผนจะปรับลดเฉพาะลูกจ้างคนไทย มีเพียงร้อยละ 2.1 เท่านั้นที่จะปรับลดเฉพาะลูกจ้างต่างด้าว และร้อยละ 1.4 จะปรับลดแรงงานทุกสัญชาติ และที่เหลือร้อยละ 36.4 ได้ปรับตัวการดำเนินงานในด้านอื่นๆ เช่น ลดต้นทุนที่ไม่ใช่ค่าแรง ปรับขึ้นราคา จ้างแบบเหมาชิ้น ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีทดแทนแรงงาน
          นอกจากนั้น ผลการสำรวจยังพบอีกว่า ภาคการผลิตได้รับผลกระทบสูงกว่าสาขาอื่นๆ เนื่องจากต้องใช้แรงงานจำนวนมาก โดยมีร้อยละ 84.6 ของผู้ประกอบการภาคการผลิตที่ระบุว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจากต้นปี ขณะที่ภาคการค้ามีร้อยละ 73.1 และภาคบริการอื่นๆ มีร้อยละ 71.0 ในส่วนของกำไรสุทธิ พบว่าภาคการผลิตมีร้อยละ 54.1 ระบุว่ามีกำไรสุทธิลดลง ขณะที่ภาคการค้ามีร้อยละ 52.2 และภาคบริการอื่นๆ มีเพียงร้อยละ 7.5 ที่ระบุว่ากำไรสุทธิลดลง
          สำหรับมาตรการที่ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมช่วยเหลือ หรือสนับสนุนจากผลกระทบนโยบายค่าแรง 300 บาท พบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้ช่วยเหลือเกี่ยวกับมาตรการด้านภาษีคิดเป็นร้อยละ 26.1 รองลงมาคือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คิดเป็นร้อยละ 20.1 ส่งเสริมการตลาดคิดเป็นร้อยละ 20.0 การจ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นต้นทุนการผลิตให้แก่สถานประกอบกิจการคิดเป็นร้อยละ 8.4 การเพิ่มผลผลิตของสถานประกอบกิจการและการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน (พัฒนาฝีมือแรงงาน) คิดเป็นร้อยละ 6.2 การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การจ้างแรงงานต่างด้าวคิดเป็นร้อยละ 5.3 การช่วยจัดหาแรงงานคิดเป็นร้อยละ 5.2 และมาตรการอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 2.3
          "ผลสำรวจพบว่า 2 ใน 3 ของผู้ประกอบการ SMEs ใน 4 จังหวัดใหญ่ของภาคอีสานได้ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่สามารถจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันได้ตามนโยบาย และส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการจ้างแรงงาน แต่ยอดขายและกำลังการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กำไรลดลง"ดร.สุทินกล่าว และว่า
          โดยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง แต่ยังสามารถรับมือและปรับตัวได้ และบางส่วนอาจปรับลดพนักงานลงโดยเฉพาะแรงงานไทย โดยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นเป็นภาคการผลิต เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เห็นว่าผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการในการทำธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ และรัฐบาลจะต้องรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ดีเพื่อให้สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs มากนัก
ที่มา : บ้านเมือง 

สพป.ขอนแก่นเขต2 รวมพลังยกคุณภาพการศึกษาภาคอีสาน


                ดร.เชิดศักดิ์ ศรีสง่าชัย ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ขอนแก่น เขต 2 เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2556 สพป.ขอนแก่น เขต 2 เป็นเจ้าภาพหลัก โดยมี สพป.ขอนแก่น เขต 1 เขต 3-5 และ สพม.25 เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมเสวนาการนำนโยบายกระทรวงศึกษาธิการสู่การปฏิบัติ "การรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา" ปี 2556 ที่โรงแรมโฆษะ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่สำนักงานคระกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เลือกจัดประชุมเสวนา "รวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา 4 ภูมิภาค" ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคแรก
          "นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จะมาเป็นประธานในพิธีเปิดและบรรยายพิเศษ พร้อมมอบนโยบายการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของสพฐ. เข้าร่วมประชุมเสาวนา รับข้อเสนอแนะและตอบคำถามการนำนโยบายกระทรวงศึกษาธิการสู่การปฏิบัติฯ แล้วยังเป็นการเตรียมการนำเสนอศิลปะพื้นบ้านอีสาน "กลอนหมอลำกลอนสด" ของนักเรียนโรงเรียนขามแก่นนคร สพม.25 ที่เป็นหมอลำแลพะหมอแคนไว้ต้อนรับ รมว.ศึกษาฯ และผู้เข้าร่วมประชุมเสวนาด้วย" ดร.เชิดศักดิ์กล่าว
          รวมถึงการแสดงนิทรรศการจากเจ้าภาพร่วม อาทิ "สานฝันโอกาสทางการศึกษา" จาก สพม.25, "ลายแทงแห่งคุณภาพ" จาก สพป.ขอนแก่น เขต 5, "นวัตกรรมห้องเรียนภาษาพาเพลิน" จาก สพป.ขอนแก่น เขต4, "ICT ก้าวไกลเด็กไทยก้าวทั้น" ตามแนวคิด พัฒนาทักษะการเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ส่งเสริมให้เด็กใช้แท็บเล็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 200 วันทำได้จริงจาก สพป.ขอนแก่น เขต 1  และ "มอนเตสเซอรี่ และ 3 in 1 Model" ตามแนวคิดพัฒนาการเรียนการสอน การเรียนรู้ด้วยสื่อต่างๆ โรงเรียนขนาดเล็กเรียนร่วมกัน เพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้อง จาก สพป. ขอนแก่น เข2 และ เขต 3 คาดว่าจะมีผู้ร่วมประชุมกว่า 1,000 คน
ที่มา : คม ชัด ลึก

'แพม ลิตา'ทุ่ม200ล้าน เปิดสถาบันสอนดนตรีมั่นใจในความไฮเทคเล็งขยายเปิดสาขาต่างแดน


            "แพม-ลิตา ตะเวทิกุล" เจ้าแม่โปรเจกต์ หลังเปิดโรงเรียนสอนร้องเพลง ผลิตรายการโทรทัศน์เรียลลิตี้โชว์จนประสบความสำเร็จมาแล้วล่าสุดทุ่มงบกว่า200 ล้านบาทมาเพื่อเปิด"WORLDSTAR ACADEMY" (เวิลด์ สตาร์อะคาเดมี่) สถาบันสอนดนตรีเต็มรูปแบบที่ล้ำสมัยปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ตั้งเป้าขยายสาขาสู่ต่างประเทศมั่นใจระบบไฮเทคล้ำหน้า ที่สถาบันในต่างแดนยังไม่มีพร้อมโปรโมชั่นพิเศษให้เรียนฟรี! ทั้งนี้ "แพม ลิตา" เปิดเผยว่า
          "โรงเรียนดนตรี เวิลด์ สตาร์ อะคาเดมี่ (world star academy) นี้ แพมตั้งใจจะทำเพื่อขยายสาขา 10 สาขาในกรุงเทพฯ และขยายไปต่างประเทศด้วย เป็นโรงเรียนสอนดนตรี การแสดง การเต้นและเครื่องดนตรีทุกประเภท เปิดสาขาแรกวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 การขยายสาขาถ้าต่างจังหวัดก็เฉพาะที่หัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ขอนแก่น
 อุดรฯ ก็มองกำลังซื้อของคนด้วย โดยตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 200 ล้านบาทค่ะ ซึ่งแพมใช้ประสบการณ์พัฒนาหลักสูตรให้เรียนง่าย เก่งเร็ว สาขาที่เปิดสอนมีร้อง เต้นแสดง แล้วก็มีกลองกีตาร์ เบส เปียโนบุคลิกภาพอีก 8 สาขาด้วยกัน การออกแบบจะเน้นความทันสมัย ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ อย่าเรียกว่าทันสมัย เรียกล้ำสมัยไปเลยดีกว่าห้องเรียนเต้นจะมี CCTV ควบคุมการเรียนการสอนกับความปลอดภัย เครื่องดนตรีคือระดับที่มืออาชีพใช้เท่านั้น เริ่มรับสมัคร 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ส่วน 4 วันแรกที่เปิดทำการ ลดค่าเล่าเรียนให้ 30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคนที่ไม่มีทุนก็สามารถเรียนได้ฟรีทางเฟชบุ๊ก worldstar thailand จะเปิดสอนฟรี ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.worldstar-academy.com ค่ะ"
ที่มา : สยามรัฐ

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Fwd: TCEB Launches ‘Thailand CONNECT’ Campaign to boost MICE business


good start !

---------- Forwarded message ----------
From: "Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)" <businesseventsthailand@tceb.or.th>
Date: 23 Oct 2013 16:48
Subject: TCEB Launches 'Thailand CONNECT' Campaign to boost MICE business
To: <md@piman.co.th>
Cc:

Facebook
Twitter
LinkedIn
TCEB Launches 'Thailand CONNECT' Campaign to boost MICE business

Includes Special Promotional Packages Offering Financial Support

The Thailand Convention and Exhibition Bureau has unveiled 'Thailand CONNECT', a global marketing campaign designed to make it easier for corporate buyers and meetings organisers to sell Thailand as a premier MICE destination.

The campaign will focus on three pillars: diversity of Thai destinations, unrivalled business opportunities, and the high quality of Thailand's MICE professionals. It is accompanied by a number of specific promotional packages that will extend financial support to MICE events and delegates attending MICE events in Thailand, depending on their country of origin and duration.

Mr  Nopparat Maythaveekulchai, TCEB's President, said that  the new "CONNECT" campaign is designed to help Thailand achieve a 2014 target of 987,000 MICE visitors from abroad, with revenues projected at 96.9 billion baht (US$3.2 billion), up respective 5% and 10% over the figures projected for 2013. It will help TCEB enhance the global visibility of the Thailand brand as part of the Five-Year Master Plan (2012-2016) and its three key strategies - WIN, PROMOTE and DEVELOP.

 "The key word here is "CONNECT". We believe that Thailand can "connect" extremely well with global buyers by offering a combined package of three Unique Selling Propositions," Mr. Nopparat said. These USPs are:

1.      Diversity of Destinations. Thailand's strategic location at the heart of Asia, together with convenient facilities and infrastructure, offer visitors an extensive choice of venues covering five 'MICE Cities' (Bangkok, Pattaya, Phuket, Chiang Mai and Khon Kaen). Six international airports connect to 190 destinations worldwide with over 500 flights per day. Nine conference and exhibition venues offer a combined total exhibition space of 222,984 square meters.

2.      Unrivalled Business Opportunities. ASEAN's second largest economy is poised to play a leading role in the forthcoming unified regional market of the ASEAN Economic Community, or AEC in 2015. Economic integration will remove trade barriers and bring free transfer of goods, services, skilled labor, trade and investment amongst the ASEAN population of almost 600 million. Thailand is a production and export base for key industries such as automotive and industrial components, computers and IT, energy, rubber and plastics. In addition, Thailand's free trade agreements with 11 countries will create more business opportunities.

3.      High Quality Professionals. In addition to its legendary hospitality and quality of service, Thailand's MICE industry has led the world in setting global standards and winning numerous global accolades and awards. ICCA ranked Thailand as worldwide No. 1 by number of international meetings, while UFI ranked Thailand No. 1 by number of international exhibitions.

Said Mr. Nopparat, "The MICE industry has always played a key role in driving the broader economy, earning revenues of approximately 80 billion baht or about 2.66 billion U.S. dollars per year. During the 2013 fiscal year, from October 2012 to August 2013, Thailand welcomed 993,072 MICE travelers, with revenues of over 86,280 billion baht (US$ 2.87 billion). Top MICE visitors were from the conventions industry (318,663 visitors), followed by incentives travelers (247,888 visitors), corporate meetings (237,701 visitors) and exhibitions (188,820 visitors).

For further information, please contact:
Corporate Communications Division
Thailand Convention and Exhibition Bureau (Public Organization)  
Ms Arisara Thanuplang         Tel:  02-694-6095         Email: arisara_t@tceb.or.th
Mr Pishnu Plaikaew               Tel:  02-694-6000        Email: pishnu_p@tceb.or.th  

This message is brought to you to you by Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB).
This is not unsolicited email. You have received this as a result of having interacted with
TCEB or subscribed www.tceb.or.th or one of TCEB websites or somebody using your email ID. 
 
 
Please do not reply to his newsletter. Shall you have further enquiries, please contact 
 
Copyright (c) 2013-2014 Thailand Convention & Exhibition Bureau. All Rights Reserved.

unsubscribe from this list    update subscription preferences 
 

Fwd: “Inspiring Thailand” Photo Contest organized by TCEB

Khon Kaen Photographers needed.
to promote KK mice city.

---------- Forwarded message ----------
From: "Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)" <businesseventsthailand@tceb.or.th>
Date: 24 Oct 2013 10:57
Subject: "Inspiring Thailand" Photo Contest organized by TCEB
To: <md@piman.co.th>
Cc:

Inspiring Thailand Photo Contest by TCEB
   
"Inspiring Thailand" Photo Contest organized by TCEB
 
Dear MICE Professionals, Medias & Bloggers
 
Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB) would like to invite those interested in photography – professionals & amateurs – to enter a PHOTO CONTEST with the theme: "Inspiring Thailand."
 
Director Sarita Chintakanond of Information Technology Department, TCEB stated that, "From our research, we found that photos are the most influential medium for MICE professionals in choosing a business events destination. We are seeking the most inspiring photo that would make meeting & event planners want to come and hold their next business event in Thailand. Thus this is not just an ordinary photo contest, but also a photographic mission for the benefit of the country."
 
The photos will be included in various PR materials when promoting Thailand. The submitted photos will be yet another inspiration among worldwide meeting planners to choose Thailand as a destination.
 
There will be three monetary awards for the 1st place winner in each category (Culture, Attraction, and Lifestyle), taking home a cash prize of 15,000 THB each plus a hotel voucher valued at 15,000 THB.  Awards are limited to one prize per entrant.
 
A panel comprised of 70% TCEB representatives will judge the images on a range of factors; 30% will be based on the voting that each participant achieves. The winning photos will be announced on www.BusinessEventsThailand.com and/or www.facebook.com/businesseventsthailand on 22th November, 2013. 
 
The submission period runs from 14th September – 15th November, 2013; the deadline for entries is 23.00 Thailand time on the 15th November 2013.
 
Contest participants may submit as many photos as they like, provided they pertain to the theme; they must be original works captured with a digital still camera.  Scans of old photos that were taken by film cameras are not accepted. 
 
For more information, please visit www.facebook.com/BusinessEventsThailand or contact businesseventsthailand@tceb.or.th  
This message is brought to you to you by Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB). This is not unsolicited email. You have received this as a result of having interacted with TCEB or subscribed www.tceb.or.th or one of TCEB websites or somebody using your email ID. 
 
Please do not reply to his newsletter. Shall you have further enquiries, please contact businesseventsthailand@tceb.or.th 
 
Copyright (c) 2013-2014 Thailand Convention & Exhibition Bureau. All Rights Reserved.

Fwd: Khon Kaen is Poised to Become One of Thailand’s Top Business Event’s Destinations

TCEB
starts promoting
KHON KAEN MICE CITY

---------- Forwarded message ----------
From: "Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)" <businesseventsthailand@tceb.or.th>
Date: 25 Oct 2013 23:12
Subject: Khon Kaen is Poised to Become One of Thailand's Top Business Event's Destinations
To: <md@piman.co.th>
Cc:

> View Online Version
>
> Combining Modern Infrastructure and Traditional Thai charm, Khon Kaen is Poised to Become One of Thailand's Top Business Event's Destinations
>
> With vast potential to contribute to Thailand's growing MICE/Business Events industry, Khon Kaen is a regional hub of commerce, investment, and transportation as well as the gateway to Northeastern Thailand, an area rich in natural and cultural attractions.
>
> As an up-and-coming events' destination, Khon Kaen features the region's largest convention center, the Golden Jubilee convention hall at Khon Kaen University, which can cater to as many as 5,000 visitors with space of 3,000 sqm, while the Convention Hall @ Central Plaza Khon Kaen having the area of 2,600 sqm which can host 1,500 - 4,000 guests. More intimate venues include Art and Culture Museum: Khon Kaen University and Lakmuang Gallery Khon Kaen, both of which can serve groups of around 30-50 attendees.
>
> To facilitate the development of Khon Kaen, there are efforts to upgrade Khon Kaen airport to international status to serve regional expansion after AEC 2015. The airport can currently serve 32 flights and 8,000 passengers daily, with flagship air carrier Thai Airways and Thai Air Asia providing the most frequent service to and from Bangkok and several other regional cities. Another transportation option that leads you to Khon Kaen includes States Railway which operates 5 trips a day to & from Khon Kaen. Also, you might want to try the bus service which leaves Bangkok almost every hour with more than 10 bus operators who will bring you to the city.
>
> At present, Khon Kaen offers a variety of accommodation options, including the Pullman Khon Kaen Raja Orchid, the Charoen Thani Princess, and the Charm Boutique Resort. In total, Khon Kaen features nearly 5,000 hotel rooms near both meeting venues, transportation centers, and numerous cultural, historical, and natural attractions. These include the spectacular Nam Phong National Park and the traditional Thai Silk Pavilion.
>
> Khon Kaen has been best known to visitors as the home of mud mee cotton and silk textiles, the Phu Kum Khao Dinosaur Excavation site (where the world's smallest dinosaur was discovered), and the Khon Kaen National Museum, which houses Angkor-era carvings. The city is also renowned for its outstanding (spicy!) Isaan/Thai cuisine, which many enjoy while picnicking at nearby Khaen Nakhon Lake.
>
> To schedule an event, arrange a visit to Khon Kaen, or request additional information, please contact:
>
> Ms Jutathip Subunnakrut or Mr Chakrapnog Pongwecharak.
> Tel: +66 2 694 6017, +66 2 694 6000 ext. 6102
> Email: mic@tceb.or.th
>
> Ms Siriwan Kamonwichian or Ms Atchara Kunakornwongse.
> Tel: +66 2 694 6038, +662 694 6093
> Email: exhibitions@tceb.or.th
> List of Khon Kaen Meeting Venue
> Convention Hall
> Golden Jubilee convention hall at Khon Kaen University:
> www.gjchall.com
> Convention Hall @ Central Plaza Khon Kaen:
> www.centralplaza.co.th/khonkaen
> Art and Culture Museum: Khon Kaen University:
> www.itrmu.net/web/03rs2
> Lakmuang Gallery Khon Kaen:
> www.lakmuanggallery.com,
> www.facebook.com/LakmuangGallery
> Hotel Hall
> Group 1 Space of 800 sqm. – 1,700 sqm. With attendance from 1,000 – 2,200 people are:
> Centara and Convention Center Khon Kaen
> www.centarahotelsresorts.com
> Major Grand Hotel
> www.majorgrand.com
> Pullman Khon Kaen Raja Orchid
> www.pullmankhonkaen.com
> Chroen Thani Princess Konkan
> www.charoenthanikhonkaen.com
> Kosa Hotel
> www.kosahotel.com
> Group 2 Space of 250 sqm. – 790 sqm. With attendance from 250-800 people are:
> Kaen Inn Hotel
> www.kaeninn.com
> Khon Kaen Hotel
> www.ptnkkhotel.com
> Khon Kaen Hotel
> www.khonkaen-hotel.com
> Rachavadee Resort & Hotel
> www.rachawadeehotel.com
> Mantra Varee Hotel
> www.mantravaree.com
> Piman Garden Boutique Hotel
> www.pimangardenhotel.com
> Group 3 Space of 80 sqm. – 160 sqm. With attendance from 50-150 people are:
> Wishing Tree Resort
> www.wishingtreeresort.com
> Amnuaysuk Place
> www.anskkhotel.com
> Bussarakam Hotel
> www.bussarakamhotel.com
> The Glacia Konkan
> www.glacier-hotel.com
> Green Resort Khonkaen
> www.greenresortkhonkaen.com
> The Charm Boutique Resort
> www.thecharmresort.com
> Cactus Resort & Hotel
> www.cactuskhonkaenhotel.com
>
> This message is brought to you to you by Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB). This is not unsolicited email. You have received this as a result of having interacted with TCEB or subscribed www.tceb.or.th or one of TCEB websites or somebody using your email ID.
>
> Please do not reply to his newsletter. Shall you have further enquiries, please contact businesseventsthailand@tceb.or.th
>
> Copyright (c) 2013-2014 Thailand Convention & Exhibition Bureau. All Rights Reserved.
>
>
>
>
>
>
>
> This email was sent to md@piman.co.th
> why did I get this?    unsubscribe from this list    update subscription preferences
> Thailand Convention & Exhibition Bureau · Floor 12B, Siam Tower, 989 Rama I Road, Pathumwan, · Bangkok, Bangkok 10330 · Thailand
>

2 ล้านล้านปักธงอีสานกลาง กลุ่มจังหวัด 'ร้อยแก่นสารสินธุ์' ไฮสปีดเทรน-ทางคู่...บูมอนาคตใหม่


           กิจกรรมโรดโชว์ "สร้างอนาคตไทย 2020" รอบนี้ถึงคิวกลุ่มอีสานกลาง ครอบคลุมรัศมีพื้นที่ 4 จังหวัด "ร้อยเอ็ด-ขอนแก่น-มหาสารคาม-กาฬสินธุ์"โดยมีเมืองดอกคูนเป็นศูนย์กลาง
          ปัจจุบันกลุ่มจังหวัดนี้มีคำนิยามเรียกขานว่า "ร้อยแก่นสารสินธุ์" โดยหยิบคำ "นำหน้า+คำหลัง" ของแต่ละจังหวัดมาผนึกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นคำเรียกขานกันเฉพาะกลุ่ม
          ด้วยศักยภาพของพื้นที่อยู่แนวแกนเศรษฐกิจหลัก หรือเส้นระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Corridor) ทำให้โยธาธิการและผังเมืองทั้ง 4 จังหวัด ต้องขอรีเช็กผังเมืองรวมจังหวัดใหม่โดยพลัน หลังจากรัฐบาลประกาศแผนลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาท รวมทั้งเพื่อรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ด้วย
          ขอนแก่นรื้อใหญ่ผังเมือง"นฤมล อัตนโถ" รักษาการโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดขอนแก่น ล่าวว่า อยู่ระหว่างทบทวนผังเมืองรวมจังหวัดให้สอดรับกับภาพรวมจังหวัดที่เปลี่ยนไปจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.นโยบายและโครงการพัฒนาที่สำคัญของจังหวัด ข้อเสนอคือให้จังหวัดเป็นฮับด้านการแพทย์และโลจิสติกส์
          2.แผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท ในอนาคตอันใกล้ ขอนแก่นจะมีโครงการใหญ่เกิดขึ้นมากมาย เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ เป็นต้น 3.การก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ จะต้องเปิดพื้นที่พัฒนามากขึ้น และ 4.การเข้าสู่เออีซีในปี 2558 จะเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันด้านการค้า การลงทุน ที่สำคัญเพิ่มศักยภาพของเมืองเพื่อเชื่อมโยงโอกาสจากอาเซียนในด้านอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และบริการ
          ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม การค้าและบริการ ซึ่งปัจจุบันมี "เขตอุตสาหกรรมซีเคบี ขอนแก่น" ขอจัดตั้งในพื้นที่ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพิ่ม
          "ต้องวิเคราะห์แนวโน้มการพัฒนาล่วงหน้า เพราะผังใหม่มีระยะเวลาใช้ 7 ปี อย่างการพัฒนาเมืองใหม่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูงที่จะมีสถานีจอดที่ขอนแก่นด้วย ในพื้นที่ก็ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าว่าจะพัฒนาอะไร"
          อ.บ้านไผ่ อนาคตสดใสสำหรับรถไฟทางคู่ก็ต้องมาดูด้วยเช่นกันที่ "สถานีบ้านไผ่" อนาคตจะเป็นชุมทางทางคู่ 2 สาย คือไปถึงหนองคาย กับอีกเส้นจะตัดใหม่ไปทางมหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร สุดปลายทางที่นครพนม จึงต้องเตรียมทั้งการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ตอบโจทย์และเสริมโครงข่ายคมนาคมให้เข้าถึงสถานีได้อย่างสะดวก
          "นฤมล" กล่าวต่อว่า ในส่วนพื้นที่พัฒนาให้เป็นฮับนั้น กำลังพิจารณาร่วมกับอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อหารือว่าจะใช้อำเภอท่าพระที่เดิมหรือเป็นที่ใหม่ เนื่องจากมีโครงการ 2 ล้านล้านบาทเกิดขึ้น จากเดิมไม่มี
          "บทบาทขอนแก่นรองรับทั้งโครงการ 2 ล้านล้านบาท และเปิดเออีซี ถูกกำหนดให้เป็นฮับของภาคอีสาน มองเรื่องการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการประชุมของอาเซียน จะส่งเสริมการพัฒนาโรงแรมและศูนย์ประชุมมากขึ้น ทั้งยกระดับของเดิมและเปิดพื้นที่ใหม่ในเขตเมือง"
          นอกจากอำเภอเมืองที่เป็นศูนย์กลางแล้ว พื้นที่โดยรอบโซนด้านใต้ทาง "อำเภอบ้านไผ่" จะพัฒนามากขึ้นเมื่อมีสถานีรถไฟทางคู่, โซนตะวันตก "อำเภอชุมแพ" การพัฒนาคงไม่หวือหวา เป็นชุมทางการเดินทางโดยธรรมชาติ เพราะสามารถไปชัยภูมิ ขึ้นไปภาคเหนือได้ ผ่านเพชรบูรณ์และพิษณุโลก
          ส่วน "อำเภอน้ำพอง" จะเป็นย่านนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันศักยภาพทรงตัว เน้นรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ให้อุตสาหกรรมมีมลพิษเกิดขึ้น
          สารคามจุดพลุรอทางคู่ด้าน "สุวพงษ์ ภูนาคพันธุ์" โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดมหาสารคาม ระบุว่า เหตุผลที่ปรับปรุงเนื่องจากร่างผังเมืองรวมจังหวัดเดิมยกร่างมาร่วม 10 ปี ไม่ตอบโจทย์และไม่สอดคล้องกับสภาพเมืองที่เปลี่ยนไป ทั้งด้านอุตสาหกรรม การขยายตัวของเมืองมีที่อยู่อาศัยเกิดใหม่มากหลังมีมหาวิทยาลัย เช่น หอพัก ค้าปลีก อุตฯ การเกษตร อิเล็กทรอนิกส์
          โดยกำลังจะมีรถไฟทางคู่สายใหม่เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม จะพาดผ่านพื้นที่จังหวัดใน 3 อำเภอ "เมืองมหาสารคามบรบือ-กุดรัง"
          "ร่างผังเดิมไม่มีโครงการรถไฟทางคู่ก็ต้องวางแผนการพัฒนาใหม่ให้สอดรับกับสถานีที่จะมาจอดรับคน เช่น หาพื้นที่รองรับสร้างให้เป็นจุดกระจายสินค้า การพัฒนาเชิงพาณิชย์โดยรอบสถานี"
          ขณะเดียวกัน พื้นที่อื่นที่เริ่มเปลี่ยนแปลงมี "อำเภอเชียงยืน" เนื่องจากเป็นพื้นที่แนวระเบียงเศรษฐกิจรองรับมาจากจังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันมีการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมาก กับ "อำเภอกันทรวิชัย" ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัย ทำให้มีการพัฒนาเข้าพื้นที่จำนวนมาก
          ทิศทางการวางผังเมืองรวมจังหวัดคือ จะเปิดการพัฒนาให้มากขึ้น เช่น กำหนดโซนให้สร้างโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท และอาคารขนาดใหญ่ได้ จากเดิมสร้างไม่ได้ อาทิ พื้นที่สีเขียวให้สร้างได้
          อีกทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่อุตฯสีเขียว ที่อยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน หรือจำกัดประเภทกิจการโรงงาน, ลดข้อจำกัดการใช้ที่ดินในการตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นต้น
          ร้อยเอ็ดเล็งบูม 8 อำเภอ"วรวรรณ กลิ่นแก้ว" โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขอทบทวนผังเมืองรวมจังหวัดใหม่ ปรับปรุงข้อกำหนดให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน รวมถึงรองรับโครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่มีโครงการทางคู่สายใหม่จากบ้านไผ่ผ่านพื้นที่ 8 อำเภอ "ศรีสมเด็จ-เมืองร้อยเอ็ดจังหาร-เชียงขวัญ-โพธิ์ชัย-โพนทอง-เมยวดี -หนองพอก"
          ทิศทางการวางผังเมืองฉบับใหม่คือ จะกำหนดพื้นที่พัฒนาโดยรอบสถานี เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย จุดกระจายสินค้า
          นอกจากนี้ จะเปิดให้สร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมอยากให้โรงงานบางประเภทเข้าไปได้ โดยภาพรวมจะพัฒนาให้รองรับธุรกิจและภาคคมนาคมขนส่งในทุกด้าน ขณะที่เมืองใหม่ใช้อำเภอเมืองเป็นศูนย์กลาง
          เซ็นทรัลโผล่ปักธงห้างค้าปลีก
          ส่วนเมืองรองจะเป็น "อำเภอเสลภูมิ" เนื่องจากเริ่มเจริญ เพราะเป็นจุดเชื่อมระหว่างร้อยเอ็ดกับ 2 จังหวัดคือ "ยโสธรอุบลราชธานี" ทางด้านเหนือเป็น "อำเภอโพนทอง-หนองพอก" จะเป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากจะมีรถไฟตัดผ่าน
          "ร้อยเอ็ดเด่นเรื่องข้าวหอมมะลิ ต้องใช้พื้นที่สีเขียวเป็นหลัก แต่ในจังหวัดไม่อยากได้ ดังนั้นต้องให้สอดคล้องทั้งเกษตร พาณิชยกรรม และที่อยู่อาศัย ต้องทำให้ครบทุกด้าน"
          จากจุดที่ตั้งของ "ร้อยเอ็ด" เป็นศูนย์กลางอยู่ใกล้ยโสธร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม มีประชากรกว่า 1.3 ล้านคน ล่าสุดทำให้ "กลุ่มเซ็นทรัล" เข้าไปปักธงลงทุนก่อสร้างห้างโรบินสันสาขาใหม่ที่ตำบลดงลาน บริเวณสี่แยกถนนวงแหวนรอบเมือง (สาย 232) ใกล้กับโฮมโปร ไทวัสดุ ที่เปิดตลาดไปล่วงหน้าเมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว
          กาฬสินธุ์ปลดล็อกโรงงาน"อดิเรก วัฒนาอุดมชัย" โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างปรับปรุงร่างผังเมืองรวมจังหวัดใหม่ให้รับกับยุทธศาสตร์เป็นเมืองเกษตรอุตสาหกรรม เพราะมีโรงงานผลิตแป้งมันใหญ่ที่สุดในประเทศ เนื่องจากร่างผังเดิมไม่เปิดการพัฒนามากนัก แต่จะห้ามโรงงานที่เป็นมลพิษ
          "เขตเมืองและเขตเทศบาลจะให้ พัฒนาตึกสูงได้ ส่วนรอบนอกจะควบคุม อนาคตกาฬสินธุ์จะพัฒนาอีกมาก เช่น หอพัก บ้าน เพราะมีการควบรวมมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์และราชมงคลเข้าด้วยกัน"
          นอกจากนี้ จะเปิดการพัฒนาแนวถนนเส้นระเบียงเศรษฐกิจ East-West Corridor ใน 2 ล้านล้านบาท โดยจังหวัดได้เงินมาขยายถนนเป็น 4 เลน ทำให้การเดินทาง การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยวสะดวกขึ้น
          ทั้งหมดนี้เป็นภาพใหญ่ยุทธศาสตร์เตรียมพร้อมตั้งรับของ 4 จังหวัดกลุ่มอีสานกลาง เพื่อรับมือกับคลื่นลงทุนที่คาดว่าจะไหลบ่าทะลักเข้าพื้นที่ในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

4 จังหวัด...โตคนละแบบ


 สร้างอนาคตไทย 2020...อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมจริง ๆ ประเมินจากอาการขานรับของคนใน 4 จังหวัดอีสานกลาง กลุ่มจังหวัดที่เรียกชื่อไม่เป็นทางการว่า "ร้อยแก่นสารสินธุ์"ในกลุ่มนี้ ขานชื่อออกมาทุกคนต้องบอกว่า "ขอนแก่น" เป็นจังหวัดพี่เอื้อย เพราะทั้งภูมิศาสตร์และนโยบายภาครัฐทุ่มเทการพัฒนาในอดีต มีผลให้ปัจจุบันขอนแก่นเป็นเมืองศูนย์กลางภาคอีสานครบถ้วนทุกด้าน ทั้งชุมชน ธุรกิจ ศูนย์การค้า การแพทย์ และการศึกษา
          ที่ผ่านมา เศรษฐกิจขอนแก่นโต กระฉูด จีดีพีในรอบ 5 ปีเพิ่มขึ้น 5.2% ด้านอุตสาหกรรมขยายตัวถึง 9.41% ขณะที่อสังหาฯขยายตัวอย่างรวดเร็ว 8.90%
          สำหรับอนาคตใหม่จากแผนลงทุน 2 ล้านล้าน พบว่า "ขอนแก่น" เป็นพื้นที่มีโครงการลงทุนสูงสุด ทั้งไฮสปีดเทรนรถไฟทางคู่ สถานีขนส่งสินค้าถนน 4 เลน
          อีก 3 จังหวัดที่อยู่ติดกัน ความเคลื่อนไหวก็เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในมุมของการปรับปรุง "ผังเมืองรวมจังหวัด" ของแต่ละพื้นที่ อย่าง "จังหวัดกาฬสินธุ์" หยิบยกจุดเด่นของการมีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลังใหญ่ที่สุดในประเทศตั้งอยู่ในพื้นที่
          ดังนั้น การปรับปรุงร่างผังเมืองรวมจังหวัด เน้นให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เป็นเมืองเกษตรอุตสาหกรรมเป็นด้านหลัก
          ในภาคอสังหาฯ อนาคตเมืองนี้ไม่ธรรมดา มีปัจจัยหนุนมาจากมีการควบรวมมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์และราชมงคลเข้าด้วยกัน จะมีกลุ่มกำลังซื้อใหม่ที่ต้องจับตามองให้ดี
          ส่วน "มหาสารคาม" อานิสงส์ของการเป็นเมืองมหาวิทยาลัยเป็นตัวผลักดันให้เมืองโตไม่หยุดเพราะมีการพัฒนาจนกระทั่งเต็มพื้นที่ในเขตเมืองเดิม จนต้องขยายเขตผังเมืองรวมเมืองมหาสารคามใหม่ จาก 10 ตร.กม.เพิ่มอีก 10 เท่าตัว หรือมากกว่า 100 ตร.กม.
          สุดท้าย "ร้อยเอ็ด" พบว่าคนเมืองเกินร้อยแห่งนี้ตื่นตัวกับแผนลงทุน 2 ล้านล้าน อย่างน่าประทับใจ ผ่านคำสัมภาษณ์ "วรวรรณ กลิ่นแก้ว" โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดร้อยเอ็ดที่ระบุว่า
          "ร้อยเอ็ดตื่นตัวรถไฟทางคู่มาก พยายามรับโครงการนี้มาเป็นจุดการพัฒนา แม้โดนแค่เสี้ยวเดียวของจังหวัด แต่ก็เปิดพื้นที่ต้อนรับ จุดเด่นคือเรามีสนามบิน อนาคตจะยกระดับให้เป็นศูนย์กลางของจังหวัดใกล้เคียง เช่น กาฬสินธุ์ที่ไม่มีรถไฟ สามารถมาใช้ระบบโลจิสติกส์ร่วมกันได้"
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สวก.ปรับปรุงปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีปลูกได้ทุกภาค


   เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา คณะผู้ บริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. จัดแถลงการผลิตและการจัดจำหน่ายต้นกล้าปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีไปสู่เกษตรกร พร้อมนำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมแปลงอนุบาลต้นกล้าปาล์ม ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
          ดร.พีรเดช ทองอำไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร หรือ สวก. เปิดเผยว่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชพลังงานที่มีความต้องการเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มเป็นอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ปัจจุบันมีเกษตรกรไทยปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 1.28 ครัวเรือน มีพื้นที่ปลูกประมาณ 4.28 ล้านไร่ ที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องพันธุ์ปาล์มที่ให้ผลผลิตและปัญหาพื้นที่ในการปลูก เนื่องจากธรรมชาติของปาล์มน้ำมันต้องการน้ำค่อนข้างสูง การปลูกในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานจึงมักประสบภัยแล้งจนทำให้ผลิตตกต่ำ ภาคกลางก็ปลูกได้บางส่วน และมีปัญหาอื่นๆ อีก อาทิ ราคาผลปาล์มดิบตกต่ำ พันธุ์ปาล์มคุณภาพต่ำ เป็นต้น
          สวก.จึงได้ระดมสมองจากนักวิชาการเพื่อวิจัยร่วมกันแบบบูรณาการ เพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น โดยเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง และสามารถปลูกได้ผลผลิตดีในทุกภาคของประเทศ และริเริ่ม "โครงการปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันแบบก้าวกระโดด" ซึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแทนการใช้เมล็ด โดย สกว.ให้ทุนสนับสนุนแก่ 5 หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรมวิชาการเกษตร และ หจก.โกลด์เด้นเทเนอร่า จ.กระบี่ หลังจากริเริ่มจนตอนนี้มาเป็นเวลา 3 ปี ในปัจจุบันมีทีมนักวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ต้นปาล์มคุณภาพดี และต่อยอดไปสู่โครงการต้นแบบในการขยายผลปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีไปสู่เกษตรกรได้
          ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง สถาบันจีโนม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หัวหน้าโครงการต้นแบบในการขยายผลปาล์มน้ำมันไปสู่เกษตรกร กล่าวว่า หจก.โกลด์เด้นเทเนอร่า จ.กระบี่ เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาคู่ผสมที่เหมาะสม โดยจัดหาพ่อแม่พันธุ์ปาล์มที่ให้ผลผลิตสูงมาเพาะเนื้อเยื่อขยายพันธุ์ปลูกทดสอบในเมืองไทย ที่สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศในบ้านเรา และยังให้ผลผลิตสูง เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาพ่อแม่พันธุ์อย่างละ 4 ต้น ผสมกันจนได้คู่ผสม 16 คู่ โดยผลสุกนำมาเพาะให้เกิดเมล็ดงอกเพื่อทำเป็นต้นกล้า จากนั้นจึงนำไปปลูกทดสอบตามภาคต่างๆ ซึ่ง 16 คู่ผสมนี้มาจากแม่พันธุ์โดรา ที่มีคุณสมบัติเด่นคือ มีกะลาหนา ให้ผลผลิตสูง เปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำ และพ่อพันธุ์ฟิซิเฟอรา ซึ่งให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง ไม่มีกะลา ให้ผลผลิตต่ำ มาผสมกันกลายเป็นลูกผสมเทโนรา ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วผลที่ได้คือ กะลาบาง ให้ผลผลิตสูง และเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง
          "เราใช้เทคโนโลยีในการผลิตปาล์มน้ำมัน โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและดีเอ็นเอ ตรวจความบริสุทธิ์ของพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ตรวจสอบความผิดปกติของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ ซึ่งจะให้ความสม่ำเสมอเท่ากันกว่าการใช้เมล็ด ช่วยในการเพิ่มต้นปาล์มที่จะใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ทั้งต้นที่เป็นโดราและฟิซิเฟอรา ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการสร้างเมล็ดลูกผสมถูกลง ปัจจุบันประสบความสำเร็จ เพราะสามารถย่นระยะเวลาให้สั้นลง และได้พันธุ์ปาล์มที่ดี มีปริมาณของน้ำมันที่สูงมาก
          ขึ้น และการทดลองปลูก ณ สถานีทดลองเกษตร จ.ขอนแก่น ศรีสะเกษ และหนองคาย ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์ดี ARDA จะให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 5 ตัน/ไร่/ปี ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเมื่ออายุ 8 ปี โดยมีอัตราการให้น้ำมันต่อทะลายสูงเฉลี่ย 25-26% ผลผลิตจำนวนทะลายปาล์มสด 15-20 ทะลาย/ต้น/ปี เนื้อหนา กะลาบาง ลักษณะลำต้นสูงปานกลาง ความสูงเฉลี่ย 40-45 ซม./ปี ซึ่งสะดวกแก่การเก็บเกี่ยวและดูแลรักษา สามารถปรับตัวได้ดี และให้ผลผลิตสม่ำเสมอตลอดปีในทุกพื้นที่ ในทุกสภาพอากาศ ที่สำคัญสามารถทนแล้งนาน 90 วัน
          ขณะเดียวกันก็จะได้ต้นเมล็ดลูกผสมที่เป็นเทโนราที่เป็นสายพันธุ์ดีจำนวนมาก ที่สามารถ 1.เพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันให้สูงขึ้น 2.เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ 3.เพิ่มน้ำหนักและจำนวนทะลายของผลปาล์ม 4.ได้ปรับปรุงต้นให้เตี้ยลง 5.สามารถทนทานต่อความแห้งแล้ง และ 6.ต้านทานโรคและสามารถปลูกได้ครบในทุกพื้นที่ของประเทศ เนื่องจากปาล์มซึ่งเป็นพลังงานทดแทนที่ให้ปริมาณน้ำมันที่สูง สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลแทนน้ำมันดีเซลได้ ดังนั้นผู้ปลูกและผู้ประกอบการได้ให้ความสนใจโครงการนี้อย่างมาก เพราะสามารถรองรับวิกฤตการณ์การใช้พลังงานที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต" ดร.สมวงษ์กล่าวสรุป
          นับเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จของนักวิจัยไทย โดยผ่านการสนับสนุนของ สวก. ที่ได้เร่งสนับสนุนและต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ลงสู่ภาคการผลิตและเกษตรกรไทย เพื่อช่วยยกระดับประเทศให้มีศักยภาพการเกษตรที่ยั่งยืน ผู้สนใจขอทราบรายละเอียดของโครงการได้ที่ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เลขที่ 2003/61 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือ โทร.0-2579-9738 ต่อ 3306.
ที่มา : ไทยโพสต์ 

BIGC ไตรมาส 4 แจ่ม ขานรับช่วงไฮซีซั่นลุยขยายสาขาเพิ่ม


BIGC คาดผลงานไตรมาส 4/56 แจ่ม รับช่วงไฮซีซั่นธุรกิจค้าปลีก เดินหน้าขยายสาขาเพิ่ม คาด 9 เดือนมีกำไร 4,340 ล้านบาท เชื่อปี 57 รับเต็มๆ จากการขยายของปีนี้
          นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดผลประกอบการของบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/56 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย ขณะที่น้ำท่วมไม่กระทบมากนัก โดยคาดว่ายังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามเป้าที่ตั้งไว้ ประกอบด้วย Hypermarket ที่ 119 แห่ง, Big C Market 31 แห่ง, Mini Big C 276 แห่ง และ Pure 141 แห่ง
          อีกทั้งในไตรมาส 4/56 มีแผนเปิด Big C Jumbo Station เพิ่มที่อยุธยา จากที่มี Big C Jumbo 2 แห่งที่สำโรงและนวนคร และ Big C Jumbo Station 1 แห่งที่พัทยา สำหรับสาขาที่ปิดปรับปรุงนั้น เช่น สาขาศรีนครินทร์แล้วเสร็จเมื่อ 1 ต.ค. ขณะที่สาขาขอนแก่นมีกำหนดเสร็จในช่วงไตรมาส 4/56 และพิษณุโลกมีกำหนดเสร็จในช่วงไตรมาส 1/57  โดยสาขาศรีนครินทร์และขอนแก่นคาดช่วยสนับสนุนยอดขายและรายได้ค่าเช่าให้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/56 เป็นต้นไป คาดกำไรสุทธิปี 56 จะอยู่ที่ 6,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในปี 57 คาดเห็นการเติบโตในระดับสูงขึ้นที่ 32.4%
          อย่างไรก็ตามแนวโน้มปี 57 คาดเห็นผลกำไรขยายตัวได้หลังรับรู้ผลการขยายสาขาของปี 56 อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มสาขาอีกเช่นกัน แม้ยังมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น แต่ก็ยังมีมุมมองที่ดีต่อ BIGC จากจำนวนสาขาที่กระจายรวมถึงประเภทที่หลากหลายทำให้น่าจะรองรับฐานลูกค้าได้ดี นอกจากนี้คาดว่าประโยชน์จากการออก Private Label และโครงการลดค่าใช้จ่ายต่อเนื่องเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลกำไร จึงคงคำแนะนำ ทยอยซื้อราคาพื้นฐานที่ 228 บาท
          ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/56 ของ BIGC จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เพราะเป็นช่วงไฮซีซัน (High Season) ของธุรกิจค้าปลีก จึงคาดกำไรสุทธิปี 56 อยู่ที่ 6,436 ล้านบาท เป็นการเติบโตที่ไม่สูงนักเพียง 6% จากปีก่อน ถือเป็นการเติบโตน้อยสุดในกลุ่มค้าปลีก รองจาก BJC และ CPALL ที่คาดกำไรปีนี้จะทำได้เพียงทรงตัวจากปีก่อน
          ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 56 อยู่ที่ 4,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคิดเป็น 67% ของประมาณการทั้งปี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 13.8% ลดลงจาก 14.2% ในงวด 9 เดือนปี 55 โดยไตรมาส 3/56 มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 13.2% สอดคล้องกับสมมติฐานที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 56 ไว้ที่ 14% ลดลงจาก 14.4% ในปีก่อน เนื่องจากการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สภาวะการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่สดใส ในขณะที่การแข่งขันยังรุนแรง
ที่มา : ข่าวหุ้น

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา " โครงการกิจกรรมการจัดทำอัตราส่วนทางการเงิน SMEs พร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบเตือนภัยธุรกิจ ปีที่ 3 "‏ ฟรี 100 ท่าน



              งานสัมมนา " โครงการกิจกรรมการจัดทำอัตราส่วนทางการเงิน SMEs พร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบเตือนภัยธุรกิจ ปีที่ 3 "  ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22..56 ที่โรงแรม บุษราคัม  ห้องมรกต  ซึ่งเปิดรับสมัครเข้าสัมมนาฟรีจำนวน 100 ท่าน ค่ะ
           ติดต่อเพื่อเข้าร่วมสัมมนาได้ที่ โทรสำรองที่นั่งได้ที่ คุณทัศนีย์วรรณ รัตนธัญกุล คุณจินตนา จีนจำรัส  02-7173000 # 635 , 622

นิคมสีเขียวขอนแก่นใกล้คลอดทุนจีนไฟเขียวปล่อยกู้ 9 พันล.


    ลุ้นแจ้งเกิดนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวเมืองขอนแก่น เนื้อที่ 4,100 ไร่ คลุมพื้นที่ อบต.ท่าพระ-อบต.ดอนหัน ทุนจีนหนุนเต็มสูบเงินลงทุน 9,000 ล้าน เล็งชงบอร์ด กนอ.อนุมัติปลายตุลาคมนี้ กางโรดแมปใช้ประโยชน์ที่ดิน 5 โซน เน้นเจาะนักลงทุนต่างชาติ 70% เผยหากโปรเจ็กต์แรกไปได้สวย มี
          ไป อ.ชุมแพแผนสร้างนิคมแห่งใหม่ต่อทันที
          นายอำนาจ ศรีสมบัติ กรรมการ
          ทเลือผู้จัดการ บริษัท เบรนซิตี้ จำกัด ในเครือบริษัท แอดวานซ์ ดิจิตอล ซัพพลาย จำกัด ผู้ดำเนินโครงการนิคมอุตสาหกรรมสี
เขียวขอนแก่น เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความคืบหน้าในการยื่นขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในจังหวัดขอนแก่น บนเนื้อที่กว่า 4,100 ไร่ บริเวณ อบต.ท่าพระ และ อบต.ดอนหัน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มูลค่าลงทุนประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ขณะนี้ทางคณะกรรมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น เตรียมนำ เรื่องดังกล่าวเสนอบอร์ดชุดใหญ่ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อพิจารณาอนุมัติประมาณปลายเดือนตุลาคมนี้ หลังจากนั้นจะเข้าสู่ ขั้นตอนการจัดทำรายงานผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
          ปัจจุบันลักษณะพื้นที่ของโครงการเป็นที่ราบกว่า 95% เป็นพื้นที่การเกษตรใช้เพาะปลูกอ้อย พื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีกฎหมายผังเมืองบังคับใช้ ซึ่งทางสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดขอนแก่น อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแก้ไขพื้นที่ให้เป็นเขตสีม่วง เพื่อใช้เป็นพื้นที่ประกอบการอุตสาหกรรมตามกฎหมายผังเมือง ต่อไป
          "นิคมสีเขียวขอนแก่นในเบื้องต้นได้รับการสนับสนุนแหล่งเงินทุนจากประเทศจีน มีทั้งในส่วนของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะเลือกรูปแบบไหน มั่นใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องทุนอย่างแน่นอน ส่วน ข้อกังวลเรื่องผังเมืองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน
          เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้รับ
          อไผหนังสือยืนยันจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดแจ้งว่า พื้นที่นี้สามารถดำเนินการในรูปแบบนิคมโดยถูกต้องตามกฎหมาย"
          นายอำนาจกล่าวว่า ภายในนิคมจะแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 5 โซน ได้แก่ 1) Zone A เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเขตประกอบการเสรี (IEAT Free Zone) มีกลุ่มเป้าหมายโรงงานผลิตรถยนต์/คลัสเตอร์ยานยนต์ โรงงานผลิตชิ้นส่วน รถยนต์ โรงงานอิเล็กทรอนิกส์และ เครื่องใช้ไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค
          2) Zone B เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (IEAT General
          Zone) กลุ่มเป้าหมายเป็นโรงงานแปรรูปผลผลิตการเกษตร อาหาร และพลังงาน โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตร โรงงานผลิต เครื่องดื่ม 3) Zone C เป็นเขตพาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย เขตการทำการค้าส่งและปลีก ศูนย์ซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนวัตถุดิบ ศูนย์ธุรกรรมระหว่างประเทศ (Trade Center) ศูนย์การค้าปลอดภาษี (Duty Free Shop) และจัดสรรพื้นที่สร้างที่พักอาศัย
          4) Zone D เป็นศูนย์กระจายสินค้า สถานีขนถ่ายสินค้า คลังสินค้า ลานกองเก็บ ตู้คอนเทนเนอร์ ฯลฯ และ 5) โซนสาธารณะ
          สีเขียว ประกอบด้วย สวนสาธารณะ
          ศูนย์กลางของนิคมอุตสาหกรรม
          สีเขียวขอนแก่น และพื้นที่บัฟเฟอร์
          โซนบริเวณที่ใกล้หมู่บ้านใช้ทำเป็นออร์แกนิกฟาร์ม (Organic Farming) แปลงเกษตรอินทรีย์ พื้นที่ปลูกผักผลไม้ปลอดสารพิษ
          นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมพื้นที่บริเวณด้านหน้าโครงการประมาณ 1,376 ไร่ รองรับการเป็นเมืองอุตสาหกรรม เชิงนิเวศ โดยในอนาคตมีแผนที่จะพัฒนาโรงเรียนนานาชาติ มหาวิทยาลัยนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า สนามกอล์ฟ สถานที่ออกกำลังกาย สวนสาธารณะ รวมทั้งพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยสำหรับบุคลากรที่ทำงานในนิคมด้วย
          "การทำตลาดเราจะโฟกัสลูกค้าที่เป็นต่างชาติเป็นหลักในสัดส่วน 70%  โดยเฉพาะลูกค้าจากจีนกลุ่มอุตสาหกรรม
ประกอบรถยนต์ซึ่งทางรัฐบาลจีนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเต็มที่ หากโปรเจ็กต์แรกประสบความสำเร็จ บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ในพื้นที่จังหวัด
          ขอนแก่นต่อทันที" นายอำนาจกล่าวผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการตั้งนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็น จุดกลางของเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) หรือ EWEC จากเวียดนาม-สปป.ลาว-ไทย-พม่า ซึ่งในแผนแม่บทการลงทุนของรัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ให้บริเวณสถานีรถไฟท่าพระ อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นจุดกระจายสินค้า ศูนย์กลางการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ด้วยรถไฟรางคู่
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ