วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"เอ็นพาร์ค"ลุยโรงแรมบุกชายแดนรับเออีซี

           "เอ็นพาร์ค" ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ที่มี "ตระกูลมาลีนนท์" ถือหุ้น กว่า 20% และกลุ่มทุนต่างชาติ "มอร์แกน  สแตนลี่ย์" อีกกว่า 20% พร้อมการเปลี่ยนถ่ายผู้บริหารโดยมี "นคร ลักษณกาญจน์" นั่งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ วันนี้ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ  เอ็นพาร์ค กลับมายืนบนถนนสายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งหลังติดคดีหนี้สินตกค้างนานกว่า 8 ปี
          นคร กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการ "ปรับโครงสร้างหนี้" และตัดขายทรัพย์สิน ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ออกไป ล่าสุดเอ็นพาร์ค มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน 1:5 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราหนี้ต่อทุนมาตรฐานทั่วไปที่ 1:1
          โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีกำไรกว่า 400 ล้านบาท คาดยืนกำไรเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยในสิ้นปีนี้ โดยผลประกอบการที่เป็นบวกมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ และการตัดขายทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น เช่น หุ้นในโรงแรมเคมเปนสกี้, บีเอ็มซีแอล, แสนสิริ ที่ดินเปล่า ทำให้รับรู้รายได้เข้ามากว่า 1,000 ล้านบาท
          นอกจากนี้ยังได้เพิ่มทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจ โดยซื้อที่ดินกว่า 1,000 ล้านบาท รวมเงินจากการขายทรัพย์สิน 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีทรัพย์สิน 6,000 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 1,000 ล้านบาท เหลือเฉพาะหนี้จากการทำธุรกิจ
          แผนลงทุนรอบใหม่ เน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยโครงการขนาดไม่ใหญ่มาก พร้อมขยายทำเลเพื่อกระจายความเสี่ยงควบคู่กัน ทั้งได้เพิ่มพอร์ตลงทุนระยะยาวจากเดิมเน้นลงทุนระยะสั้น หรือพัฒนาโครงการเพื่อขาย
          โครงการระยะยาวโครงการแรก คือ การซื้อโรงแรมเซ็นทาราคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ 
ขอนแก่น มูลค่า 1,000 ล้านบาท จากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นดีลเลอร์รถยนต์โตโยต้ารายใหญ่ นำมาปรับปรุงใหม่โดยกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทเครือเซ็นทาราเข้ามาบริหาร วางตำแหน่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มีจุดขายหลักห้องประชุมสัมมนาและแสดงสินค้า พื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. ใหญ่สุดในภาคอีสาน รองรับศักยภาพขอนแก่น ในฐานะศูนย์กลางด้านการศึกษา การแพทย์ และหน่วยงานราชการต่างๆ คาดเริ่มมีรายได้ชัดเจนในปี 2557  โดยเปิดบริการเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา :เจาะด่านค้าชายแดนกัมพูชา
          ในเดือน ม.ค.2557 เอ็นพาร์ค จะเปิดโครงการพัฒนาที่ดินใหม่ที่ตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ พัฒนาคอนโดมิเนียม 2 อาคารกว่า 500 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ มูลค่า 800-900 ล้านบาท ทั้งหมดทำสัญญา 80 ไร่ ส่งมอบที่ดินมาแล้วกว่า 20 ไร่ รับกำลังซื้อและเม็ดเงินในตลาดค้าชายแดนกัมพูชาสะพัด 7-8 หมื่นล้านต่อปี
          "โครงการที่โรงเกลือมีแนวโน้มที่ดี พบว่ามีความต้องการซื้ออาคารพาณิชย์ทีเดียว 20-30 ยูนิต ส่วนคอนโดมีเจ้าของบ่อนกาสิโนที่ปอยเปตสนใจขอซื้อแบบยกอาคารเพื่อทำห้องพัก โรงแรม แต่เอ็นพาร์คยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ รอเปิดขายโครงการก่อน"
          นอกจากนี้เตรียมพัฒนาที่ดิน 4 ไร่ ย่าน ถ.รัชดาภิเษก สุทธิสาร เป็นคอนโด 400 ยูนิต มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท โครงการนี้วางตำแหน่งการตลาดของแบรนด์ให้สูงกว่า "พาร์ค" ราคาเริ่มต้น 1 แสนบาทต่อตร.ม.
          ส่วนที่ดินบางกระเจ้า ซึ่งรวบรวมได้ 200-300 ไร่ โดยเอ็นพาร์คซื้อที่ดินคืนมาจากธนาคาร เฉพาะมูลค่าที่ดินตามราคาประเมินสูงถึง 4,000 ล้านบาท ที่ดินแปลงนี้จะพัฒนาโครงการ ซูเปอร์ลักชัวรี บ้านหลังใหญ่บนที่ดิน 2 ไร่ขึ้นไป อยู่ระหว่างวางรูปแบบ ฟื้นแผน'ร้อยชักสาม'
          ขณะที่โครงการร้อยชักสาม ริมน้ำเจ้าพระยา ย่านสี่พระยา ได้การตอบรับจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ว่าจะต่อสัญญาเอ็นพาร์ค กลับมาให้รวมเป็นสัญญาเช่าพื้นที่ 30 ปีเท่าเดิม โดยเริ่มนับหนึ่งใหม่
          " สิ่งที่จะทำจากนี้ คือ ฟื้นความเชื่อมั่น สร้างแบรนด์เอ็นพาร์ค ที่ใครๆ มองว่าเป็นเหมือนแมวเก้าชีวิต คือ ล้มแล้วลุกใหม่ อยากให้ได้การยอมรับเป็นแบรนด์มีความน่าเชื่อถือ มีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคง การเติบโตเป็นไปได้ทุกรูปแบบทั้งทำเอง ร่วมทุน ฯลฯ"
          ทั้งนี้เจ้าของกาสิโนที่ปอยเปตซึ่งเป็น คนไทย ชักชวนเอ็นพาร์ค ลงทุนในฝั่งกัมพูชา ด้วย นอกจากนี้ยังเสนอขอซื้อคอนโดที่โรงเกลือครึ่งหนึ่ง แม้จะยังไม่มีข้อสรุป แต่สะท้อนโอกาสพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในกัมพูชา เช่น ศูนย์ค้าปลีกและสถานบันเทิง นอกจากนี้ยังมองทำเล "หาดใหญ่" เป็นด่านการค้าภาคใต้ซึ่งอาจพัฒนาทั้งโรงแรมและที่พักอาศัยควบคู่กัน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น