วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

' ขอนแก่นเมืองใจดี ออกแบบเพื่อคนทั้งมวล '


' ขอนแก่นเมืองใจดี ออกแบบเพื่อคนทั้งมวล ' : คอลัมน์ กฤษนะทัวร์ยกล้อ โดย... กฤษนะ ละไล

               การเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเป็น "เมืองศูนย์กลางอารยสถาปัตย์แห่งประชาคมอาเซียน" ภายในปี 2560 กำลังได้รับเสียงตอบรับใน "ภาคปฏิบัติ" จากหลายภาคส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ
          ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ทำการคิกออฟอารยสถาปัตย์บนเขาใหญ่ ในชื่อโครงการ "ท่องเที่ยวทุกวัย สุขใจในอุทยานแห่งชาติ" โดยเริ่มจากการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆทั้งทางลาด และห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุ และผู้พิการ บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และจะขยายไปในจุดท่องเที่ยวต่างๆทั่วเขาใหญ่ รวมถึงบ้านพักนักท่องเที่ยวบนเขาใหญ่ด้วย
          "อารยสถาปัตย์มีความสำคัญมากเพราะจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้พิการทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในอุทยานแห่งชาติได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขณะนี้ อุทยานแห่งชาติทั่วไทย 147 แห่ง ได้ทยอยปรับปรุงอารยสถาปัตย์ไปแล้วกว่า 90 แห่ง เพื่อให้อุทยานแห่งชาติของไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลที่ทุกคน ทุกวัยในครอบครัว แม้แต่ผู้พิการก็มาเที่ยวได้" คุณวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.กระทรวงทรพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กล่าวระหว่างการคิกออฟอารยสถาปัตย์เขาใหญ่ในวันนั้น
          นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ในงานครบรอบ 41 ปี การสถาปนาการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้ว่าการ กนอ. "ดร.วีรพงศ์ไชยเพิ่ม" ได้ประกาศว่า กนอ.จะ "เอาจริง" กับการทำอารยสถาปัตย์ โดยเริ่มต้นที่ตึกที่ทำการสำนักงานใหญ่ของ กนอ.ย่านมักกะสัน ซึ่งมีการปรับปรุง และเพิ่มเติมทางลาด ที่จอดรถ และห้องน้ำสำหรับผู้ที่ใช้รถเข็นวีลแชร์ให้สามารถมาติดต่อราชการกับ กนอ.ได้โดยสะดวก และปลอดภัย ยกระดับการบริการให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ
          "จากนี้ไปเราจะเร่งจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆสำหรับผู้สูงอายุ และผู้พิการในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 48 แห่งทั่วเมืองไทย เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการ และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมไทยสู่ประชาคมอาเซียน โดยเริ่มจากนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง 11 แห่งก่อน เช่น ที่มาบตาพุด จ.ระยอง เป็นต้น" ดร.วีรพงศ์ กล่าวถึงเป้าหมายในการพัฒนาอารยสถาปัตย์ของ กนอ.
          อารยสถาปัตย์กำลังเบ่งบานทั่วไทย เพราะอารยสถาปัตย์ คือ หลักการออกแบบที่เป็นธรรม เพื่อสร้างโอกาสแห่งความสุขให้เกิดขึ้นในทุกสังคมจากความสะดวก และปลอดภัย ให้กับคนทุกวัยในครอบครัว ที่สุดแล้วก็เพื่อคนทุกคนนั่นเอง
          ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา เทศบาลนครขอนแก่น ได้เปิดโครงการ "ขอนแก่นเมืองใจดี ออกแบบเพื่อคนทั้งมวล" โดยใช้หลักอารยสถาปัตย์มาทำการปรับปรุงสถานที่สาธาณะต่างๆในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่นให้มีความสะดวก และปลอดภัยในการเข้าถึง และใช้ประโยชน์ได้ในบริการสาธารณะของรัฐทุกรูปแบบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ทั่วถึง และเท่าเทียม
          คุณธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น บอกว่า ได้วางยุทธศาสตร์เมืองขอนแก่นให้เป็นเมืองน่าอยู่ และเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านต่างๆในภูมิภาคนี้ เช่น ศูนย์กลางด้านการศึกษา การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว เราจึงเห็นว่าเรื่องอารยสถาปัตย์เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็น เพราะจะช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น โดยเฉพาะผู้พิการจะสามารถออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ และทำงานสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัวได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของคนรอบข้าง หรือเป็นภาระของสังคมอีกต่อไป
          "เฉพาะในเขตเทศบาลนครขอนแก่นมีคนพิการประเภทต่างๆอาศัยอยู่กว่า 1,000 คน เราพยายามให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา ช่วยเสนอความคิดความเห็นต่างๆ อย่างเช่นการทำสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไม่ว่าจะเป็นทางลาด ที่จอดรถ ห้องน้ำสำหรับผู้พิการ และผู้สูงอายุ แม้แต่ป้ายสัญลักษณ์รูปวีลแชร์ต่าง ๆ เราก็จะเชิญผู้ใช้งานตัวจริงมาช่วยสำรวจ และตรวจสอบดูว่าทำถูกต้องหรือไม่ ใช้งานได้สะดวก และปลอดภัยหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักเป็นแบบคิดแทนทำให้ ผลออกมาคือทำแล้วใช้งานไม่ได้ เช่น ทางลาด ชันเกินไป หรือห้องน้ำมีประตูแคบเกินไป" นายกฯขอนแก่นกล่าวถึงการทำอารยสถาปัตย์เมืองขอนแก่น
          อารยสถาปัตย์มหานครขอนแก่น เริ่มต้นขึ้นแล้วด้วยการปรับปรุงทางลาดบริเวณทางขึ้นลง และทางเข้าออกตึกอาคารต่างๆทุกแห่งในสำนักงานเทศบาล มีที่จอดรถมที่มีรูปโลโก้วีลแชร์เด่นชัดหลายจุด และกำลังทำห้องน้ำวีลแชร์เพิ่มอีก 1-2 จุด อีกทั้ง กำลังทำทางลาดเชื่อมโยงฟุตบาททางเดินเท้าทั่วเมือง รวมถึงการจัดรถเทศบาลบริการรับส่งคนพิการ
          เช่นเดียวกับที่สวนสุขภาพ บึงทุ่งสร้าง ซึ่งกำลังจัดงานมหัศจรรย์พรรณไม้นานาชาติ 2013 ครั้งแรกในแดนอีสาน (17 ธันวาคม-2 มกราคม 2557) ทางเทศบาลนครขอนแก่นได้ทำทางลาดสำหรับรถเข็นให้เข็นไปชมสวนดอกไม้ได้ทั่วทั้งสวน และทำห้องน้ำสำหรับผู้พิการ และผู้สูงอายุในทุกจุดที่มีห้องน้ำของคนปกติทั่วไปเป็นการประกาศความพร้อมของเมืองขอนแก่นในการเป็น "เมืองหลวงอารยสถาปัตย์อีสาน" สู่ประชาคมอาเซียน รวมพลังท้องถิ่น เชือมโยงสู่สากล

และจะเป็น "ขอนแก่นโมเดล" ในการพัฒนาอารยสถาปัตย์ของท้องถิ่นเพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งมวลต่อไป
ที่มา : คมชัดลึก 

กรมโรงงานทุ่ม 110 ล้านจัดโซนนิ่งอุตสาหกรรม


           กรมโรงงานทุ่มงบ 110 ล้านบาท รุกทำโซนนิ่ง อุตสาหกรรมทั้งในพื้นที่ลงทุนหนาแน่น และมีศักยภาพ พร้อมพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศให้ชุมชนและโรงงานอยู่ร่วมกันได้
          นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) เปิดเผยว่า ภายในงบประมาณปี 2557 กรอ. มี 2 โครงการใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์ประเทศใช้งบประมาณรวม 110 ล้านบาท โครงการแรกเป็นการทำโซนนิ่งพื้นที่อุตสาหกรรม (Industrial Zoning) เพื่อกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมที่เหมาะสม เหมือนกับการทำโซนนิ่งเกษตร ทำเป็นฐานข้อมูลให้นักลงทุนนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจ ได้สะดวก ซึ่งโครงการนี้ได้รับงบประมาณมา 50 ล้านบาท
          การทำฐานข้อมูลโซนนิ่งจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือใน 15 จังหวัด ส่วนแรกคือพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีการตั้งโรงงานหนาแน่นแล้ว ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ ชลบุรีและระยอง โดยส่วนนี้จะดูว่าในพื้นที่ที่เหลือสามารถประกอบการอะไรได้อีกบ้าง เช่น การที่มีโรงงานหนาแน่นแล้วอาจจะทำได้เพิ่มเติมเพียงธุรกิจบริการ
          ส่วนที่ 2 พื้นที่ที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร นครปฐมและปทุมธานี โดยจะศึกษาหาพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อลดความขัดแย้งกับชุมชุนที่มีแนวโน้มว่ามีปัญหารุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี พลังงานทดแทน โรงงานผลิตไฟฟ้า
          ส่วนที่ 3 พื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะขยายอุตสาหกรรม ได้แก่ ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น กาญจนบุรี เพชรบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งจะศึกษาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงงานที่เหมาะกับทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
          "ในการศึกษาจะดูทั้งเรื่องที่ตั้ง วัตถุดิบที่จะป้อนโรงงานในพื้นที่นั้น เรื่องโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและต้องลงไปถึงการสำรวจและรับฟังชุมชนว่าคิดเห็นอย่างไรกับการที่จะมีโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามา ซึ่งเมื่อรวบรวมข้อมูลแล้ว จะสะดวกกับนักลงทุนมากที่จะใช้ประกอบการเลือกตัดสินใจลงทุน" นายณัฐพล กล่าว
          ด้าน โครงการที่ 2 เป็นโครงการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ(อีโคอินดัสเทรียล ทาวน์) สำหรับพื้นที่รอบสวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรมซึ่งเป็น ส่วนที่อยู่ใต้การดูแลของ กรอ. ซึ่งจะใช้ งบประมาณรวม 60 ล้านบาท ระยะเวลา ดำเนินการ 1 ปี
          ทั้งนี้ โครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องทางพบว่ายังมีปัญหาโรงงานในสวนและเขตอุตสาหกรรมมีการขัดแย้งกับชุมชุนหลายพื้นที่และมีการถูกร้องเรียนจำนวนมาก เช่นปี 2556 ที่ผ่านมาเพียงครึ่งปีก็มีเรื่องร้องเรียนเข้า มากรอ.ถึง 448 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการ ร้องเรียนได้รับผลกะทบเรื่องกลิ่น เสียง ฝุ่น ไอสารเคมี โรงงานเถื่อน โดย กรอ. จะต้องแก้ไขปัญหา เพื่อให้ทั้งชุมชน และโรงงาน อยู่ร่วมกันได้ โดยศึกษาเพื่อทำแผนแม่บท ในการพัฒนาเป็นอีโคอินดัสเทรียลทาวน์ และดำเนินการตามแผนแม่บทสำหรับพื้นที่ที่ศึกษาไว้แล้ว
          ส่วนที่ 3 ดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างโรงงานกับชุมชน เช่นการเข้าไปวางระบบมอนิเตอร์น้ำเสีย ควันหรือกลิ่น และสุดท้ายส่วนเผยแพร่ความรู้การพัฒนาอีโคอินดัสเทรียลทาวน์
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

การค้า-ลงทุนอีสาน '57 เหนื่อยไร้สัญญาณบวกกระตุ้นศก.


          ภาพรวมการค้าการลงทุนภาคอีสานปี'57 ยังลูกผีลูกคน เหตุเจอมรสุมรุมหลายด้าน ทั้งกำลังซื้อหด-การเมืองป่วน-ภาครัฐขาดงบประมาณทางการคลังเข้ามากระตุ้น นักธุรกิจประสานเสียงครึ่งปีหน้ายังไร้สัญญาณบวกเข้ามากระตุ้นการลงทุน
          นายสมิง ยิ้มศิริ ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภาพรวมการค้าการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2557 ยังไม่ดีนัก เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ๆ เข้ามาสนับสนุน และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะการส่งออกและต้นทุนของผู้ประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจังหวัดขอนแก่นที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในภาพรวมเหมือนเช่นจังหวัดอื่น ๆ ในภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะกำลังซื้อที่ชะลอตัวอย่างหนักจากหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้จากโครงการประชานิยม
          "ผมยังมองไม่เห็นว่าในปีหน้าธุรกิจตัวไหนบ้างที่จะเป็นดาวรุ่งมาแรงเหมือนทุก ๆ ปี แต่ที่ยังพอไปได้คือเรื่องของโลจิสติกส์ การศึกษา รวมถึงการเป็นจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของหน่วยราชการต่าง ๆ มากกว่า 200 หน่วยงาน ซึ่งมากกว่าจังหวัดอื่น ๆ ที่มีประมาณ 100 หน่วยงาน น่าจะทำให้เกิด
          เม็ดเงินหมุนเวียนในจังหวัดได้ในระดับหนึ่ง ส่วนการค้าชายแดนมองว่าสถานการณ์ยังทรง ๆ ตัว ไม่หวือหวา โดยฝั่งประเทศเพื่อนบ้านของไทยเศรษฐกิจยังเติบโตด้วยดี ยกเว้นไทยที่ยังต้องเหนื่อย" นายสมิงกล่าว
          นายสิริพงษ์ อังคะสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้การขยายการลงทุนในพื้นที่อีสานใต้เริ่มชะลอตัวลง เพราะไม่มั่นใจสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง และกำลังซื้อผู้บริโภค โดยที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า บริษัท โมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างบิ๊กแบรนด์จากส่วนกลางหลาย ๆ รายเริ่มที่จะแตะเบรกลงทุนขยายสาขาใหม่เอาไว้ก่อน และรอให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีกว่านี้จึงค่อยเดินหน้าต่อไป ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ลักษณะนี้จะลากยาวไปถึงกลางปี 2557

          "บรรยากาศการค้าการลงทุนของจังหวัดศรีสะเกษในระยะนี้ค่อนข้างเงียบเหงามาก จากเดิมที่เงียบอยู่แล้ว หลังน้ำท่วมประเมินว่าการค้าน่าจะดีจากการซื้อเพื่อซ่อมแซมบ้าน แต่ดูเหมือนไม่กระเตื้องขึ้นเลย ที่พอจะไปได้น่าจะเป็นการค้าชายแดน สิ้นปี 2556 ยอดส่งออกน่าจะจบที่ 1,400  ล้านบาท เติบโต 30%"
          ด้านนายวสันต์ แก้วศิริบัณฑิต ประธานหอการค้าจังหวัดเลย กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในปีหน้ายังชะลอตัว แต่ประเมินว่าการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจะเป็นปกติ จากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มโฮมโปร และบิ๊กซี รวมไปถึงความคึกคักของการค้าชายแดนที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างมาก จากการยกระดับให้จุดผ่านแดนอำเภอท่าลี่ เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยได้งบประมาณก่อสร้างอาคารและโครงการต่าง ๆ วงเงิน 300 ล้านบาท ขณะนี้งานก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จเกือบ 100%
          ทั้งนี้คาดว่าเฉพาะมูลค่าการค้าชายแดน (นำเข้า-ส่งออก) ภายในสิ้นปีนี้จะทำได้สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ในจังหวัดยังมีการลงทุนโรงงานน้ำตาลใหม่ถึง 2 แห่ง มูลค่าลงทุน 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะรายได้จากยางพาราซึ่งขณะนี้เป็นรายได้อันดับหนึ่งของจังหวัด ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูก 6 แสนไร่ และเปิดกรีดหน้ายางได้แล้วประมาณ 2 แสนไร่
          "ยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด ในปีหน้า ท่านผู้ว่าฯได้ให้นโยบาย มาแล้วว่า ให้ชูการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลัก เพื่อเชื่อมการท่องเที่ยวกับ สปป.ลาวได้ด้วย ซึ่งต้องมีการวางทิศทางการพัฒนาต่อไปในอนาคต" นายวสันต์กล่าว
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

'อิตัลไทย'ทุ่มกว่า 100 ล้าน สร้าง'อิตัลไทย เซ็นเตอร์'ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถขุดตัก ในอุตสาหกรรมหนัก


            นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อิตัลไทยโดย บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรมจำกัด (ITALTHAI Industrial : ITI) ซึ่งเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายและเป็นหน่วยให้บริการหลังการขายเครื่องจักรกลจากบริษัทชั้นนำระดับโลก ได้รับความไว้วางใจในการจำหน่ายและการให้บริการหลังการขายของเครื่องจักรกลหนักของ Volvo Construction Equipment หรือ Volvo CE  แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย รวมถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ บริษัทฯ จึงได้ขยายสาขาและเปิดศูนย์บริการเครื่องจักรกลหนัก Volvo ครบวงจร  หรือ อิตัลไทย เซ็นเตอร์ (Italthai Center)สาขามหาชัย ที่ทันสมัยเต็มรูปแบบตามมาตรฐานของ Volvo CE เพื่อเป็นการรองรับตลาดที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
          อิตัลไทย เซ็นเตอร์ : Italthai Center มหาชัย เป็นศูนย์บริการที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในจำนวนศูนย์บริการทั้งหมดของอิตัลไทย โดยจะรองรับการให้บริการแบบ คือ ส่วนงานขาย (Sale), ส่วนงานบริการ (Service) และ ส่วนงานอะไหล่ (Spare parts) ซึ่งถือเป็น Central Warehouse แบบครบวงจรให้แก่สินค้าประเภทเครื่องจักรกลหนักที่ทางบริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัดเป็นตัวแทนจำหน่าย โดยใช้งบประมาณในการลงทุนกับการปรับปรุงและสร้างItalthai Center ที่มหาชัยนี้และรวมถึงที่ขอนแก่นด้วยงบประมาณ 100 ล้านบาท รองรับลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งผู้ประกอบการรับเหมารายใหญ่ หน่วยงานราชการคู่ค้า รวมไปถึงบุคคลทั่วไป เพราะศูนย์บริการสาขามหาชัยนี้ให้การบริการที่ครบวงจรทั้งในด้านการขาย, การบริการ รวมถึงศูนย์ฝึกอบรมความรู้ต่างๆ ด้วย
          ปัจจุบัน Italthai Center มีสาขาทั้งหมด 12 สาขา ในประเทศไทย และอีก 1 สาขาที่เวียงจันทน์ แบ่งออกเป็น สาขาหลัก ซึ่งเป็นสาขาที่รองรับการบริการแบบ 3S คือ ส่วนงานขาย (Sale), ส่วนงานบริการ (Service) และคลังอะไหล่ (Spare parts) มีทั้งหมด 4 สาขา ตั้งอยู่ที่จังหวัด ชลบุรี ขอนแก่นลำปางและสมุทรสาคร สำหรับสาขาย่อย จะรองรับการบริการแบบ 2S คือส่วนงานขาย (Sale) และ ส่วนงานบริการ (Service) มีทั้งหมด 8 สาขา ตั้งอยู่ที่จังหวัด พิษณุโลก, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, อยุธยา, ฉะเขิงเทรา,สุราษฎร์ธานี, สงขลา (หาดใหญ่) และภูเก็ต สำหรับสาขาในต่างประเทศที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นศูนย์ครบวงจร 3S เช่นกันเพื่อพร้อมรองรับการขยายตัวของตลาดอย่างครบวงจร และมีทีมช่างไว้คอยบริการกว่า 350 คน จะกระจายไปอยู่ในสาขาต่าง ๆ โดยจะให้บริการซ่อมบำรุงภายใน 24 ชม.
          นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรอบรมการใช้งานเครือง Simulator ทั้งหมดอีก3 หลักสูตร เพื่อเป็นการฝึกการใช้เครื่องจักรกลของวอลโว่ได้แก่รถตักล้อยาง(Wheel Loader), รถขุด (Excavator) และรถบรรทุกเทท้ายชนิดหักเลี้ยวกลางลำตัว (Articulated Haulers) โดยระยะเวลาในการเรียนจะขึ้นอยู่กับแต่ละหลักสูตรซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 6 เดือนไปจนถึง 1 ปี ทั้งนี้ การพิจารณาเปิดหลักสูตรใดๆนั้น จะต้องมีนักเรียนมาสมัครเรียนอย่างน้อย 8 คนก่อน จึงจะพิจารณาเปิดหลักสูตร
          ปัจจุบันหลักสูตรต่างๆ เหล่านี้กำลังเปิดสอนเพื่อพัฒนาศักยภายให้ทีมงานของ ITI เพื่อให้มีความชำนาญการมากขึ้น และในอนาคต ITA ก็จะร่วมมือกับกรมพัฒนาแรงงานและฝีมือทั่วประเทศในการเปิดอบรมให้กับผู้ที่สนใจเพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้และทักษะต่อไป
          นายยุทธชัย กล่าวอีกต่อไปว่า และเพื่อเป็นการขยายตลาดให้มากขึ้นบริษัทฯ จึงได้นำเข้า รถขุด Volvo EC 350DL ใหม่ มารองรับตลาดที่กำลังขยายตัว ซึ่งปัจจุบันในตลาดตอนนี้มีรถขุดขนาด 33 ตันอยู่แล้วแต่เป็นขนาดที่เล็กเกินกว่าจะทำงานในเหมืองหินหรือโรงโม่หิน ในขณะที่รุ่นที่ใหญ่กว่าจะเป็นขนาด 38 ตัน ซึ่งจะมีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุแต่สำหรับ รถขุด Volvo EC350DL เป็นรถขุดขนาด 35 ตัน รุ่นใหม่ล่าสุดจากวอลโว่ ซึ่งเป็นรถขุดที่เหมาะสำหรับการทำงานหนักในเหมืองหินหรือโรงโม่หิน
          นอกจากนี้ แขนขุดยังถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรง รองรับงานหนักได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ที่สำคัญที่ Volvo EC350DL เป็นรถขุดที่เน้นในเรื่องความประหยัดน้ำมัน โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ D8 ใหม่ล่าสุดจากวอลโว่ สามารถใช้งานในโหมด ECO ที่ช่วยการเผาผลาญน้ำมันดียิ่งขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังมี Option เสริมต่างๆ เช่นกล้องมองหลัง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและมุมมองขณะทำงาน รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงยิ่งขึ้น ดังนั้นราคาVolvo EC350DL จะมีหลากหลายขึ้นอยู่กับ Option เสริม โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 20 คันในปีแรก ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 6.2 ล้านบาทต่อคัน
          "ภาพรวมตลาดเครื่องจักรกลหนักในปัจจุบันมีประมาณ 3,800 ยูนิตเนื่องจากตลาดได้มีการสต็อกเครื่องจักรเข้าไปใช้งานตั้งแต่ปีที่และปีนี้เป็นจำนวนมาก และด้วยความที่ตลาดเป็นเครื่องจักรกลหนักที่มีอายุการใช้งานยาวนาน คาดว่าการขยายตัวในปีหน้าอาจจะไม่มากนัก โดยเฉพาะรถขุด Volvo ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 5 หรือ 12% อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสร้างฐานในการบริการให้เต็มรูปแบบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนการปรับเปลี่ยนสาขาแบบ 2S ให้เป็นสาขาแบบ 3S ใน 2 พื้นที่คือที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ด้วยงบประมาณ 100 ล้านบาทที่ผ่านมา ITI ในกลุ่มอุตสาหกรรมมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปี 2554 มียอดขายอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท และปี 2555 ยอดขายอยู่ที่ 2,900 ล้านบาทและปี 2556 นี้ จะกระโดดไปที่ 4,000 กว่าล้านบาท และในปีหน้า 2557 คาดว่าจะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,500 ล้านบาท"นายยุทธชัย กล่าวสรุปในตอนท้าย
ที่มา : พิมพ์ไทย 

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชาวไร่ลุ้นปีนี้ผลผลิตอ้อยทุบสถิติ


             แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าปีนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าผลผลิตอ้อยจะทุบสถิติอีกครั้งหนึ่ง โดยคาดว่าจะมากกว่า 103 ล้านตัน ตามปริมาณที่จัดสรรไว้ และคาดว่าผลผลิตน้ำตาลทรายก็จะได้เพิ่มขึ้นโดยคาดว่าจะได้ในระดับ 11 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สิ่งที่ต้องจับตาคือสถานการณ์ราคาน้ำตาลทรายต่างประเทศยังไม่ดีขึ้นนัก เฉลี่ยน้ำตาลทรายดิบอยู่ที่ 16-17 เซ็นต์ต่อปอนด์ เนื่องจากปริมาณการผลิตทั่วโลกรวมถึงไทยสูงขึ้น
             นายชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ ที่ปรึกษาชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน กล่าวว่า คาดว่าอ้อยปีนี้จะทุบสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในระดับ 100.02 ล้านตัน โดยชาวไร่มองเป้าหมายที่ระดับสูงสุด 110 ล้านตัน แต่ทั้งนี้ก็คงจะต้องติดตามว่าฝนจะมาเร็ว และทำให้การตัดอ้อยเป็นอุปสรรคหรือไม่ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ผลผลิตปีนี้ดี เนื่องจากฝนมาถูกต้องตามฤดูกาลและหนาวก็มาช่วงสิ้นปีพอดีทำให้อ้อยสะสมความหวานได้มาก
          " ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2556/57 อยู่ระดับ 900 บาทต่อตันนั้น ชาวไร่อ้อยเองก็รอลุ้นอยู่ว่าจะมีการช่วยเหลือส่วนเพิ่มตามข้อเรียกร้องที่มองว่าควรจะได้เพิ่มอีก 250 บาทต่อตันอย่างไร เพราะบางส่วนเห็นว่าควรจะกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ส่วนหนึ่ง และอีก 1 หมื่นล้านบาทจะขอรัฐบาลช่วยเป็นเงินงบประมาณ แต่อีกฝ่ายก็เห็นว่าน่าจะกู้ทั้งหมด
          นายชลัส ชินธรรมมิตร์ ประธานคณะ ทำงานด้านตลาดภายในประเทศ บริษัท ไทยซูการ์มิลเลอร์ จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานจัดหาวัตถุดิบ บริษัท น้ำตาล
ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เปิดเผยว่า คาดว่าฤดูการผลิตอ้อยปี 2556/57 ที่กำลังหีบอยู่ขณะนี้จะมีอ้อยเข้าหีบในระดับ 105 ล้านตัน ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณอ้อยทำสถิติสูงสุดอีกครั้งเป็นประวัติการณ์ จากปีที่แล้วที่ทำไว้ในระดับ 100.02 ล้านตันอ้อย เนื่องจากปีนี้ฝนค่อนข้างดีซึ่งทำให้ผลผลิตอ้อยต่อไร่สูงขึ้น
          " คาดการณ์ว่าทะลุ 100 ล้านตัน และมากกว่าปีที่แล้วแน่นอนแต่อาจไม่ถึงประมาณ 110 ล้านตัน เพราะเราเปิดหีบอ้อยค่อนข้างช้ามาอยู่ช่วง 25 พ.ย. ซึ่งช่วง เม.ย.ปีหน้าฝนมาก็จะทำให้การตัดอ้อยอาจมีอุปสรรคได้ ก็ต้องรอลุ้น แต่ 105 บวกลบน่าจะอยู่ประมาณนี้ "
          นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) และในฐานะกรรมการกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมน้ำตาลทั่วโลกรวมถึงไทย กำลังเผชิญกับภาวะราคาน้ำตาลโลกลดลงต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่รับได้ โดยปัจจุบันราคาเหลือเพียง 16 เซ็นต่อออนซ์ จากราคาพื้นฐานประมาณ 20 เซ็นต่อออนซ์ หรือราคาลดต่ำกว่าปี 2555 คิดเป็นสัดส่วนถึง 19-20% ทั้งนี้เกิดจากน้ำตาลล้นตลาดโลกมากว่า 2 ปีแล้ว เพราะเมื่อช่วง 4 ปีที่ผ่านมาราคาน้ำตาลโลกปรับสูงขึ้นมาก ทำให้เกิดการเร่งปลูกอ้อยและสร้างโรงงานน้ำตาลเพิ่มขึ้นมากมาย จนส่งผลให้ราคาน้ำตาลล้นตลาดมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา : บ้านเมือง


"เอ็นพาร์ค"ลุยโรงแรมบุกชายแดนรับเออีซี

           "เอ็นพาร์ค" ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ที่มี "ตระกูลมาลีนนท์" ถือหุ้น กว่า 20% และกลุ่มทุนต่างชาติ "มอร์แกน  สแตนลี่ย์" อีกกว่า 20% พร้อมการเปลี่ยนถ่ายผู้บริหารโดยมี "นคร ลักษณกาญจน์" นั่งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ วันนี้ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ  เอ็นพาร์ค กลับมายืนบนถนนสายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งหลังติดคดีหนี้สินตกค้างนานกว่า 8 ปี
          นคร กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการ "ปรับโครงสร้างหนี้" และตัดขายทรัพย์สิน ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ออกไป ล่าสุดเอ็นพาร์ค มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน 1:5 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราหนี้ต่อทุนมาตรฐานทั่วไปที่ 1:1
          โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีกำไรกว่า 400 ล้านบาท คาดยืนกำไรเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยในสิ้นปีนี้ โดยผลประกอบการที่เป็นบวกมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ และการตัดขายทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น เช่น หุ้นในโรงแรมเคมเปนสกี้, บีเอ็มซีแอล, แสนสิริ ที่ดินเปล่า ทำให้รับรู้รายได้เข้ามากว่า 1,000 ล้านบาท
          นอกจากนี้ยังได้เพิ่มทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจ โดยซื้อที่ดินกว่า 1,000 ล้านบาท รวมเงินจากการขายทรัพย์สิน 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีทรัพย์สิน 6,000 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 1,000 ล้านบาท เหลือเฉพาะหนี้จากการทำธุรกิจ
          แผนลงทุนรอบใหม่ เน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยโครงการขนาดไม่ใหญ่มาก พร้อมขยายทำเลเพื่อกระจายความเสี่ยงควบคู่กัน ทั้งได้เพิ่มพอร์ตลงทุนระยะยาวจากเดิมเน้นลงทุนระยะสั้น หรือพัฒนาโครงการเพื่อขาย
          โครงการระยะยาวโครงการแรก คือ การซื้อโรงแรมเซ็นทาราคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ 
ขอนแก่น มูลค่า 1,000 ล้านบาท จากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นดีลเลอร์รถยนต์โตโยต้ารายใหญ่ นำมาปรับปรุงใหม่โดยกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทเครือเซ็นทาราเข้ามาบริหาร วางตำแหน่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มีจุดขายหลักห้องประชุมสัมมนาและแสดงสินค้า พื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. ใหญ่สุดในภาคอีสาน รองรับศักยภาพขอนแก่น ในฐานะศูนย์กลางด้านการศึกษา การแพทย์ และหน่วยงานราชการต่างๆ คาดเริ่มมีรายได้ชัดเจนในปี 2557  โดยเปิดบริการเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา :เจาะด่านค้าชายแดนกัมพูชา
          ในเดือน ม.ค.2557 เอ็นพาร์ค จะเปิดโครงการพัฒนาที่ดินใหม่ที่ตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ พัฒนาคอนโดมิเนียม 2 อาคารกว่า 500 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ มูลค่า 800-900 ล้านบาท ทั้งหมดทำสัญญา 80 ไร่ ส่งมอบที่ดินมาแล้วกว่า 20 ไร่ รับกำลังซื้อและเม็ดเงินในตลาดค้าชายแดนกัมพูชาสะพัด 7-8 หมื่นล้านต่อปี
          "โครงการที่โรงเกลือมีแนวโน้มที่ดี พบว่ามีความต้องการซื้ออาคารพาณิชย์ทีเดียว 20-30 ยูนิต ส่วนคอนโดมีเจ้าของบ่อนกาสิโนที่ปอยเปตสนใจขอซื้อแบบยกอาคารเพื่อทำห้องพัก โรงแรม แต่เอ็นพาร์คยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ รอเปิดขายโครงการก่อน"
          นอกจากนี้เตรียมพัฒนาที่ดิน 4 ไร่ ย่าน ถ.รัชดาภิเษก สุทธิสาร เป็นคอนโด 400 ยูนิต มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท โครงการนี้วางตำแหน่งการตลาดของแบรนด์ให้สูงกว่า "พาร์ค" ราคาเริ่มต้น 1 แสนบาทต่อตร.ม.
          ส่วนที่ดินบางกระเจ้า ซึ่งรวบรวมได้ 200-300 ไร่ โดยเอ็นพาร์คซื้อที่ดินคืนมาจากธนาคาร เฉพาะมูลค่าที่ดินตามราคาประเมินสูงถึง 4,000 ล้านบาท ที่ดินแปลงนี้จะพัฒนาโครงการ ซูเปอร์ลักชัวรี บ้านหลังใหญ่บนที่ดิน 2 ไร่ขึ้นไป อยู่ระหว่างวางรูปแบบ ฟื้นแผน'ร้อยชักสาม'
          ขณะที่โครงการร้อยชักสาม ริมน้ำเจ้าพระยา ย่านสี่พระยา ได้การตอบรับจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ว่าจะต่อสัญญาเอ็นพาร์ค กลับมาให้รวมเป็นสัญญาเช่าพื้นที่ 30 ปีเท่าเดิม โดยเริ่มนับหนึ่งใหม่
          " สิ่งที่จะทำจากนี้ คือ ฟื้นความเชื่อมั่น สร้างแบรนด์เอ็นพาร์ค ที่ใครๆ มองว่าเป็นเหมือนแมวเก้าชีวิต คือ ล้มแล้วลุกใหม่ อยากให้ได้การยอมรับเป็นแบรนด์มีความน่าเชื่อถือ มีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคง การเติบโตเป็นไปได้ทุกรูปแบบทั้งทำเอง ร่วมทุน ฯลฯ"
          ทั้งนี้เจ้าของกาสิโนที่ปอยเปตซึ่งเป็น คนไทย ชักชวนเอ็นพาร์ค ลงทุนในฝั่งกัมพูชา ด้วย นอกจากนี้ยังเสนอขอซื้อคอนโดที่โรงเกลือครึ่งหนึ่ง แม้จะยังไม่มีข้อสรุป แต่สะท้อนโอกาสพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในกัมพูชา เช่น ศูนย์ค้าปลีกและสถานบันเทิง นอกจากนี้ยังมองทำเล "หาดใหญ่" เป็นด่านการค้าภาคใต้ซึ่งอาจพัฒนาทั้งโรงแรมและที่พักอาศัยควบคู่กัน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

ททท.อัดงาน ' เคานต์ดาวน์ 'ฟื้นมู้ดท่องเที่ยวทั่ว ปท.


            สถานการณ์การเมืองที่เริ่มคลี่คลายลงระดับหนึ่งจากการที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่เป็นหนึ่งในความหวังที่หลาย ๆ ฝ่ายเชื่อว่าจะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการชุมนุมประท้วงส่งผลกระทบ ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนหนึ่งต้องชะลอการเดินทางออกไป
          ภาคเอกชนท่องเที่ยวจึงวิตกว่าบรรยากาศท่องเที่ยวช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อาจไม่คึกคักเท่าที่ควร  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. จึงมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยว ในช่วงปลายปี โดยจัดกิจกรรมนับ ถอยหลังส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ หรือเคานต์ดาวน์ พร้อมการทำบุญตักบาตรเพื่อสร้างกระแส การเดินทางทั้งตลาดคนไทยและต่างชาติ เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายและเศรษฐกิจในภาพรวม

          "นพดล ภาคพรต" ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม ททท.บอกว่า ขณะนี้ทาง ททท.ได้กำหนดพื้นที่จัดงานเคานต์ดาวน์ จุดพลุและดอกไม้ไฟทั่วประเทศไว้ 8 จุด ประกอบด้วย 1.กรุงเทพฯ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 -1 มกราคม 2557 ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์-เพลินจิต-ปทุมวัน ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กหลัก 2.เชียงใหม่ วันที่ 25-31 ธันวาคม 2556 บริเวณถนนท่าแพและบริเวณประตูท่าแพ 3.งาน "เคานต์ดาวน์ 3 แผ่นดิน 2014" ที่ อ.แม่สาย เชียงราย วันที่ 30 ธันวาคม 2556-1 มกราคม 2557 ไฮไลต์คือการแสดงศิลปวัฒนธรรมของไทย เมียนมาร์ และ สปป.ลาว 4.งานพัทยาเคานต์ดาวน์ 2014 ชลบุรี วันที่ 25-31 ธันวาคม 2556 บริเวณท่าเทียบเรือท่องเที่ยว (แหลมบาลีฮาย) พัทยาใต้ มีกิจกรรมการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังรวม 7 วัน 7 คืน
          5.งานไนท์ พาราไดซ์ หาดใหญ่ เคานต์ดาวน์ ทู 2014 ที่สงขลา วันที่ 30-31 ธันวาคม 2556 บนถนนนิพัทธ์อุทิศ 3, ถนน เสน่หานุสรณ์, ถนนธรรมนูญวิถี 6.ภูเก็ต มี 2 งานหลัก คือ งานคัลเลอร์ฟูล ภูเก็ต เคานต์ดาวน์ 2014 วันที่ 29-31 ธันวาคม 2556 บริเวณสนามชัย อ.เมือง ส่วนงานที่ 2 คือ งานภูเก็ต อิเล็กทรอนิกส์ มิวสิก แอนด์ แดนซ์ เฟสติวัล 2014 วันที่ 30-31 ธันวาคม 2556 บริเวณชายหาดกะรน อ.เมือง
          7.งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2557 "ปาร์ตี้ความสุขของครอบครัว" (แฮปปี้ แฟมิลี่ ปาร์ตี้ 2014) จังหวัดขอนแก่น วันที่ 25-31 ธันวาคม 2556 บริเวณถนนศรีจันทร์ อ.เมือง และ 8.นครพนม เคานต์ดาวน์ 2014 วันที่ 29 ธันวาคม 2556-1 มกราคม 2557 บริเวณลานพนมนาคา
          "คาดว่ากิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นอารมณ์จับจ่ายของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้ และมีเม็ดเงินสะพัด ในช่วงปีใหม่ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศยังนิยม เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยว ต่างจังหวัด โดยเฉพาะเมืองพัทยา, เชียงใหม่ ภูเก็ต" ผู้บริหาร ททท.ระบุ
          ขณะที่ " อดิศักดิ์ เทพอาสน์ " ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เสริมว่า คาดงานเคานต์ดาวน์ที่นครพนมปีนี้จะมี นักท่องเที่ยวมาร่วมงานมากกว่า 1 แสนคน โดยนอกจากนักท่องเที่ยวคนไทยแล้วจะมีนักท่องเที่ยวชาวลาวข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาร่วมงานจำนวนมาก
          คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 30-40 ล้านบาท ส่วนยอดจองห้องพักก็สามารถปรับราคาขายได้ 3-4 เท่าตัว จากจำนวนห้องพักที่มีกว่า 2,000 ห้อง
          ส่วน "สราวุฒิ แซ่เตียว" นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่บอกว่า ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ สัดส่วนนักท่องเที่ยวจะเป็นคนไทย 70% ส่วนต่างชาติเป็น 30% โดยเฉพาะในตัวเมืองเชียงใหม่มียอดจองห้องพักเกือบ 100% แล้ว ดีกว่าปีที่แล้วด้วยซ้ำ
          เพราะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนยังหลั่งไหลมาเที่ยวจำนวนมาก คาดว่าจะสร้างรายได้สะพัดกว่า 200 ล้านบาทต่อวัน
          ด้าน "สุรพล เศวตเศรนี" ผู้ว่าการ ททท.กล่าวว่า ททท.ได้ปรับลดเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2556 ใหม่ โดยกรณีที่สถานการณ์เริ่มมีความรุนแรงเกิดขึ้นแต่ไม่ยืดเยื้อ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวลดลงจากเดิม 26.17 ล้านคน เหลือ 25.75 ล้านคน หรือลดลงประมาณ 420,000 คน
          ขณะที่ด้านรายได้จากเดิมตั้งไว้ 1.177 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือ 1.158 ล้านล้านบาท หรือรายได้หายไปประมาณ 18,900 ล้านบาท ถือว่าผลกระทบไม่มากนัก
          ส่วนด้านยอดการเข้าพักอาจได้รับ ผลกระทบบ้าง หากสถานการณ์ทางการเมืองมีความยืดเยื้อ เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยว มีการรอดูสถานการณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางและจองที่พักในช่วงไตรมาสแรกปี 2557 โดยนักท่องเที่ยวอาจมีการเปลี่ยนไปท่องเที่ยวที่อื่นแทน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในแถบใกล้เคียงกับไทย
          นอกจากนี้ ททท.จะเพิ่มกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ในประเทศให้มากขึ้น พร้อมกับปรับรูปแบบการโปรโมตแห่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้น การท่องเที่ยวตามฤดูกาล
          เพื่อผลักดันให้ธุรกิจท่องเที่ยวยังเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปในปีหน้า
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ