วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สวก.ปรับปรุงปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีปลูกได้ทุกภาค


   เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา คณะผู้ บริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. จัดแถลงการผลิตและการจัดจำหน่ายต้นกล้าปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีไปสู่เกษตรกร พร้อมนำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมแปลงอนุบาลต้นกล้าปาล์ม ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
          ดร.พีรเดช ทองอำไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร หรือ สวก. เปิดเผยว่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชพลังงานที่มีความต้องการเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มเป็นอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ปัจจุบันมีเกษตรกรไทยปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 1.28 ครัวเรือน มีพื้นที่ปลูกประมาณ 4.28 ล้านไร่ ที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องพันธุ์ปาล์มที่ให้ผลผลิตและปัญหาพื้นที่ในการปลูก เนื่องจากธรรมชาติของปาล์มน้ำมันต้องการน้ำค่อนข้างสูง การปลูกในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานจึงมักประสบภัยแล้งจนทำให้ผลิตตกต่ำ ภาคกลางก็ปลูกได้บางส่วน และมีปัญหาอื่นๆ อีก อาทิ ราคาผลปาล์มดิบตกต่ำ พันธุ์ปาล์มคุณภาพต่ำ เป็นต้น
          สวก.จึงได้ระดมสมองจากนักวิชาการเพื่อวิจัยร่วมกันแบบบูรณาการ เพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น โดยเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง และสามารถปลูกได้ผลผลิตดีในทุกภาคของประเทศ และริเริ่ม "โครงการปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันแบบก้าวกระโดด" ซึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแทนการใช้เมล็ด โดย สกว.ให้ทุนสนับสนุนแก่ 5 หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรมวิชาการเกษตร และ หจก.โกลด์เด้นเทเนอร่า จ.กระบี่ หลังจากริเริ่มจนตอนนี้มาเป็นเวลา 3 ปี ในปัจจุบันมีทีมนักวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ต้นปาล์มคุณภาพดี และต่อยอดไปสู่โครงการต้นแบบในการขยายผลปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีไปสู่เกษตรกรได้
          ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง สถาบันจีโนม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หัวหน้าโครงการต้นแบบในการขยายผลปาล์มน้ำมันไปสู่เกษตรกร กล่าวว่า หจก.โกลด์เด้นเทเนอร่า จ.กระบี่ เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาคู่ผสมที่เหมาะสม โดยจัดหาพ่อแม่พันธุ์ปาล์มที่ให้ผลผลิตสูงมาเพาะเนื้อเยื่อขยายพันธุ์ปลูกทดสอบในเมืองไทย ที่สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศในบ้านเรา และยังให้ผลผลิตสูง เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาพ่อแม่พันธุ์อย่างละ 4 ต้น ผสมกันจนได้คู่ผสม 16 คู่ โดยผลสุกนำมาเพาะให้เกิดเมล็ดงอกเพื่อทำเป็นต้นกล้า จากนั้นจึงนำไปปลูกทดสอบตามภาคต่างๆ ซึ่ง 16 คู่ผสมนี้มาจากแม่พันธุ์โดรา ที่มีคุณสมบัติเด่นคือ มีกะลาหนา ให้ผลผลิตสูง เปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำ และพ่อพันธุ์ฟิซิเฟอรา ซึ่งให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง ไม่มีกะลา ให้ผลผลิตต่ำ มาผสมกันกลายเป็นลูกผสมเทโนรา ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วผลที่ได้คือ กะลาบาง ให้ผลผลิตสูง และเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง
          "เราใช้เทคโนโลยีในการผลิตปาล์มน้ำมัน โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและดีเอ็นเอ ตรวจความบริสุทธิ์ของพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ตรวจสอบความผิดปกติของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ ซึ่งจะให้ความสม่ำเสมอเท่ากันกว่าการใช้เมล็ด ช่วยในการเพิ่มต้นปาล์มที่จะใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ทั้งต้นที่เป็นโดราและฟิซิเฟอรา ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการสร้างเมล็ดลูกผสมถูกลง ปัจจุบันประสบความสำเร็จ เพราะสามารถย่นระยะเวลาให้สั้นลง และได้พันธุ์ปาล์มที่ดี มีปริมาณของน้ำมันที่สูงมาก
          ขึ้น และการทดลองปลูก ณ สถานีทดลองเกษตร จ.ขอนแก่น ศรีสะเกษ และหนองคาย ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์ดี ARDA จะให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 5 ตัน/ไร่/ปี ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเมื่ออายุ 8 ปี โดยมีอัตราการให้น้ำมันต่อทะลายสูงเฉลี่ย 25-26% ผลผลิตจำนวนทะลายปาล์มสด 15-20 ทะลาย/ต้น/ปี เนื้อหนา กะลาบาง ลักษณะลำต้นสูงปานกลาง ความสูงเฉลี่ย 40-45 ซม./ปี ซึ่งสะดวกแก่การเก็บเกี่ยวและดูแลรักษา สามารถปรับตัวได้ดี และให้ผลผลิตสม่ำเสมอตลอดปีในทุกพื้นที่ ในทุกสภาพอากาศ ที่สำคัญสามารถทนแล้งนาน 90 วัน
          ขณะเดียวกันก็จะได้ต้นเมล็ดลูกผสมที่เป็นเทโนราที่เป็นสายพันธุ์ดีจำนวนมาก ที่สามารถ 1.เพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันให้สูงขึ้น 2.เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ 3.เพิ่มน้ำหนักและจำนวนทะลายของผลปาล์ม 4.ได้ปรับปรุงต้นให้เตี้ยลง 5.สามารถทนทานต่อความแห้งแล้ง และ 6.ต้านทานโรคและสามารถปลูกได้ครบในทุกพื้นที่ของประเทศ เนื่องจากปาล์มซึ่งเป็นพลังงานทดแทนที่ให้ปริมาณน้ำมันที่สูง สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลแทนน้ำมันดีเซลได้ ดังนั้นผู้ปลูกและผู้ประกอบการได้ให้ความสนใจโครงการนี้อย่างมาก เพราะสามารถรองรับวิกฤตการณ์การใช้พลังงานที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต" ดร.สมวงษ์กล่าวสรุป
          นับเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จของนักวิจัยไทย โดยผ่านการสนับสนุนของ สวก. ที่ได้เร่งสนับสนุนและต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ลงสู่ภาคการผลิตและเกษตรกรไทย เพื่อช่วยยกระดับประเทศให้มีศักยภาพการเกษตรที่ยั่งยืน ผู้สนใจขอทราบรายละเอียดของโครงการได้ที่ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เลขที่ 2003/61 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือ โทร.0-2579-9738 ต่อ 3306.
ที่มา : ไทยโพสต์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น