ยังไม่จบ สำหรับบัญชีโครงการของ
"กระทรวงคมนาคม" ตามแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท ที่ "รัฐบาลเพื่อไทย"
กำลังเร่งผลักดันให้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแบบผ่านฉลุยในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ เพราะติดเม็ดเงินลงทุนโครงการถนนที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา
เจ้ากระทรวง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" จัดคิวประชุมด่วนช่วงบ่าย แก่ ๆ
หวังให้สรุปจบโดยเร็ววัน
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งเป็นประธาน เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เรียกไปพบที่ทำเนียบด่วน พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ "พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต" และ"ประเสริฐ จันทรรวงทอง"
ว่ากันว่า...ที่ 3 บิ๊กหูกวางถูก "นายกฯหญิง" เรียกตัวด่วนแบบไม่ได้ตั้งตัว นอกจากกรณีเกิดเหตุประท้วงหยุดทำโอทีของสหภาพ "กทท.-การท่าเรือแห่งประเทศไทย" และต้องการเร่งงานที่ยังล่าช้าให้เร็วขึ้น
อีกเป้าหมายเพื่อติดตามบัญชีรายชื่อโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของ "คมนาคม" ที่ยังไม่ลงล็อก โดยเฉพาะแผนโครงการถนนของ 2 หน่วยอย่าง "กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท" ที่มีเทศกาล "ชักเข้า-ชักออก" อยู่ตลอดเวลา ด้วยผู้คุมหน่วยก็ไม่อยากตัดโครงการของตัวเองออก
เพราะต่างก็รู้กันดีว่า "งบฯถนน" เป็นสิ่งที่ "ส.ส." อยากดึงไปลงพื้นที่ตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากจับต้องง่ายและเกิดได้เร็ว จึงไม่แปลกที่แผนลงทุนถนนจึงยังไม่นิ่ง เพราะยังมีคลื่นใต้น้ำตีกระเพื่อม "จัดสรรเงิน-จัดสรรพื้นที่" ลงทุน
แต่ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้น เมื่อ "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เด็กในคาถา "เจ๊ ด." แห่งวัง บัวบาน จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวที่ "คมนาคม" และทำหน้าที่ประธานที่ประชุมแทน "ชัชชาติ" ทันทีที่มีภารกิจด่วนอยู่ที่ทำเนียบ
แม้การประชุมใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1 ชั่วโมง และยุติลงแบบไร้ข้อสรุป เมื่อเจ้ากระทรวงไม่อยู่ โปรเจ็กต์ต่าง ๆ ที่ "กรมทางหลวง" และ "กรมทางหลวงชนบท" เสนอเพิ่ม จึงยังไม่สามารถบรรจุในสารบบบัญชีได้
ถึงการประชุมจบไปแล้ว แต่ยังมีเสียงวิพากษ์ถึงการมาของ "วราเทพ" มีนัยสำคัญซ่อนเร้น จะมาช่วยสแกนจุดอ่อนจุดแข็งของโครงการให้จบโดยเร็ว หรือมีจุดเป้าหมายอื่น
หลังก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่า งานถนนที่ยังไม่ตกผลึก เพราะยังมีคลื่นแทรกของคนกันเอง
ขณะที่บรรยากาศในที่ประชุม ยังมีโครงการถนนที่ 2 อธิบดีจาก "กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท" พยายามเสนอขอใช้เงินลงทุนจาก 2 ล้านล้านบาท
"มีโครงการถนนทั้งทางหลวงและทางหลวงชนบทเสนอกลับเข้าสู่ที่ประชุมอีก หลังรอบที่แล้วถูกตัดเงินลงทุนไป แต่ยังไม่ได้อนุมัติและวงเงินก็ยังไม่สรุป รอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาพิจารณาก่อน" แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวและว่า
สำหรับแผนงานที่ "กรมทางหลวง" เสนอเพิ่มมี 2 รายการ มูลค่าลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท หลังถูกตัดโครงการไปเหลือ 180,230 ล้านบาท (ณ วันที่ 4 ก.พ.)
โดยโครงการใหม่ที่เสนอ ประกอบด้วย โครงการขยายถนน 4 ช่องจราจร จำนวน 15 สายทาง วงเงิน 13,200 ล้านบาท ในพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ 11 สายทาง มีจังหวัดพังงา สุราษฎร์ธานี สงขลา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และเมืองระดับรอง 4 สายทาง ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ลำพูน ลพบุรี และนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างสะพานกลับรถบนถนนสายหลัก จำนวน 9 แห่ง ประมาณ 2,000 ล้านบาท
"หลังโครงการใหญ่อย่างมอเตอร์เวย์ 2 สาย ทั้งสายบางปะอิน-โคราช และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่กรมทางหลวงพยายามจะขอค่าก่อสร้างด้วย แต่ได้เฉพาะค่าเวนคืนที่ดิน จึงหาโครงการอื่นมาแทน แต่ยังไม่สรุป" แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับในส่วนของ "กรมทางหลวงชนบท" ขอเพิ่มอีก 8,000 ล้านบาท จากเดิมที่ถูกตัดเหลือ 48,731 ล้านบาท สำหรับค่าเวนคืนที่ดินก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อม "อ.พระสมุทรเจดีย์ กับ อ.มหาชัย" ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและสมุทรสาคร จากเดิมถูกตัดออกไปแล้ว เนื่องจากใช้เงินก่อสร้างค่อนข้างสูงถึง 49,000 ล้านบาท
ขณะที่บทบาทของ "รองนายกฯ วราเทพ" ในที่ประชุมวันนั้น กำชับให้แต่ละหน่วยพิจารณาโครงการเป็นภาพรวมตามยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงเมืองเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค และใช้เงินลงทุนในงบประมาณปกติไม่ได้
แต่ไม่ลืมโฟกัสไปที่ "โครงการถนน" ซึ่งระบุว่าต้องเป็นเส้นทางโครงการใหญ่ที่พร้อมดำเนินการ ช่วยเสริมศักยภาพของการเป็น "ฮับ" หรือศูนย์กลางทั้ง "เมืองหลัก-เมืองรอง" ครอบคลุมทุก ภูมิภาค
และรองรับประตูการค้าชายแดนทั้ง 9 แห่ง ประกอบด้วย ด่านเชียงของ แม่สาย แม่สอด หนองคาย มุกดาหาร นครพนม อรัญประเทศ สะเดา และปาดังเบซาร์ เช่น ขยายถนนสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร เชื่อมระหว่างเส้นทางเศรษฐกิจการค้า
ซึ่ง "ภาคเหนือ" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ลำปาง แม่ฮ่องสอน ลำพูน กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร และเพชรบูรณ์" มีประตูการค้าอยู่ที่ "เชียงราย-ตาก"
"ภาคอีสาน" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย นครราชสีมา อุบลราชธานี ซึ่งเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "เลย-กาฬสินธุ์-ชัยภูมิ-ร้อยเอ็ด-บุรีรัมย์ และสุรินทร์" ส่วนประตูการค้าอยู่ที่ "มุกดาหารและนครพนม"
ขณะที่ "ภาคกลาง" มีกรุงเทพฯและเมืองปริมณฑลเป็นเมืองศูนย์กลาง และมีจังหวัด "สระบุรีและลพบุรี" เป็นเมืองระดับรอง
"ภาคตะวันตก" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่ "ประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี" มี "ราชบุรีและสมุทรสงคราม" เป็นเมืองระดับรอง มีจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประตูการค้า
"ภาคตะวันออก" มีจังหวัด "ชลบุรีและระยอง" เป็นเมืองศูนย์กลาง ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ฉะเชิงเทรา จันทบุรี"
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งเป็นประธาน เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เรียกไปพบที่ทำเนียบด่วน พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ "พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต" และ"ประเสริฐ จันทรรวงทอง"
ว่ากันว่า...ที่ 3 บิ๊กหูกวางถูก "นายกฯหญิง" เรียกตัวด่วนแบบไม่ได้ตั้งตัว นอกจากกรณีเกิดเหตุประท้วงหยุดทำโอทีของสหภาพ "กทท.-การท่าเรือแห่งประเทศไทย" และต้องการเร่งงานที่ยังล่าช้าให้เร็วขึ้น
อีกเป้าหมายเพื่อติดตามบัญชีรายชื่อโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของ "คมนาคม" ที่ยังไม่ลงล็อก โดยเฉพาะแผนโครงการถนนของ 2 หน่วยอย่าง "กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท" ที่มีเทศกาล "ชักเข้า-ชักออก" อยู่ตลอดเวลา ด้วยผู้คุมหน่วยก็ไม่อยากตัดโครงการของตัวเองออก
เพราะต่างก็รู้กันดีว่า "งบฯถนน" เป็นสิ่งที่ "ส.ส." อยากดึงไปลงพื้นที่ตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากจับต้องง่ายและเกิดได้เร็ว จึงไม่แปลกที่แผนลงทุนถนนจึงยังไม่นิ่ง เพราะยังมีคลื่นใต้น้ำตีกระเพื่อม "จัดสรรเงิน-จัดสรรพื้นที่" ลงทุน
แต่ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้น เมื่อ "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เด็กในคาถา "เจ๊ ด." แห่งวัง บัวบาน จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวที่ "คมนาคม" และทำหน้าที่ประธานที่ประชุมแทน "ชัชชาติ" ทันทีที่มีภารกิจด่วนอยู่ที่ทำเนียบ
แม้การประชุมใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1 ชั่วโมง และยุติลงแบบไร้ข้อสรุป เมื่อเจ้ากระทรวงไม่อยู่ โปรเจ็กต์ต่าง ๆ ที่ "กรมทางหลวง" และ "กรมทางหลวงชนบท" เสนอเพิ่ม จึงยังไม่สามารถบรรจุในสารบบบัญชีได้
ถึงการประชุมจบไปแล้ว แต่ยังมีเสียงวิพากษ์ถึงการมาของ "วราเทพ" มีนัยสำคัญซ่อนเร้น จะมาช่วยสแกนจุดอ่อนจุดแข็งของโครงการให้จบโดยเร็ว หรือมีจุดเป้าหมายอื่น
หลังก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่า งานถนนที่ยังไม่ตกผลึก เพราะยังมีคลื่นแทรกของคนกันเอง
ขณะที่บรรยากาศในที่ประชุม ยังมีโครงการถนนที่ 2 อธิบดีจาก "กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท" พยายามเสนอขอใช้เงินลงทุนจาก 2 ล้านล้านบาท
"มีโครงการถนนทั้งทางหลวงและทางหลวงชนบทเสนอกลับเข้าสู่ที่ประชุมอีก หลังรอบที่แล้วถูกตัดเงินลงทุนไป แต่ยังไม่ได้อนุมัติและวงเงินก็ยังไม่สรุป รอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาพิจารณาก่อน" แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวและว่า
สำหรับแผนงานที่ "กรมทางหลวง" เสนอเพิ่มมี 2 รายการ มูลค่าลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท หลังถูกตัดโครงการไปเหลือ 180,230 ล้านบาท (ณ วันที่ 4 ก.พ.)
โดยโครงการใหม่ที่เสนอ ประกอบด้วย โครงการขยายถนน 4 ช่องจราจร จำนวน 15 สายทาง วงเงิน 13,200 ล้านบาท ในพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ 11 สายทาง มีจังหวัดพังงา สุราษฎร์ธานี สงขลา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และเมืองระดับรอง 4 สายทาง ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ลำพูน ลพบุรี และนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างสะพานกลับรถบนถนนสายหลัก จำนวน 9 แห่ง ประมาณ 2,000 ล้านบาท
"หลังโครงการใหญ่อย่างมอเตอร์เวย์ 2 สาย ทั้งสายบางปะอิน-โคราช และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่กรมทางหลวงพยายามจะขอค่าก่อสร้างด้วย แต่ได้เฉพาะค่าเวนคืนที่ดิน จึงหาโครงการอื่นมาแทน แต่ยังไม่สรุป" แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับในส่วนของ "กรมทางหลวงชนบท" ขอเพิ่มอีก 8,000 ล้านบาท จากเดิมที่ถูกตัดเหลือ 48,731 ล้านบาท สำหรับค่าเวนคืนที่ดินก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อม "อ.พระสมุทรเจดีย์ กับ อ.มหาชัย" ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและสมุทรสาคร จากเดิมถูกตัดออกไปแล้ว เนื่องจากใช้เงินก่อสร้างค่อนข้างสูงถึง 49,000 ล้านบาท
ขณะที่บทบาทของ "รองนายกฯ วราเทพ" ในที่ประชุมวันนั้น กำชับให้แต่ละหน่วยพิจารณาโครงการเป็นภาพรวมตามยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงเมืองเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค และใช้เงินลงทุนในงบประมาณปกติไม่ได้
แต่ไม่ลืมโฟกัสไปที่ "โครงการถนน" ซึ่งระบุว่าต้องเป็นเส้นทางโครงการใหญ่ที่พร้อมดำเนินการ ช่วยเสริมศักยภาพของการเป็น "ฮับ" หรือศูนย์กลางทั้ง "เมืองหลัก-เมืองรอง" ครอบคลุมทุก ภูมิภาค
และรองรับประตูการค้าชายแดนทั้ง 9 แห่ง ประกอบด้วย ด่านเชียงของ แม่สาย แม่สอด หนองคาย มุกดาหาร นครพนม อรัญประเทศ สะเดา และปาดังเบซาร์ เช่น ขยายถนนสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร เชื่อมระหว่างเส้นทางเศรษฐกิจการค้า
ซึ่ง "ภาคเหนือ" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ลำปาง แม่ฮ่องสอน ลำพูน กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร และเพชรบูรณ์" มีประตูการค้าอยู่ที่ "เชียงราย-ตาก"
"ภาคอีสาน" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย นครราชสีมา อุบลราชธานี ซึ่งเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "เลย-กาฬสินธุ์-ชัยภูมิ-ร้อยเอ็ด-บุรีรัมย์ และสุรินทร์" ส่วนประตูการค้าอยู่ที่ "มุกดาหารและนครพนม"
ขณะที่ "ภาคกลาง" มีกรุงเทพฯและเมืองปริมณฑลเป็นเมืองศูนย์กลาง และมีจังหวัด "สระบุรีและลพบุรี" เป็นเมืองระดับรอง
"ภาคตะวันตก" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่ "ประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี" มี "ราชบุรีและสมุทรสงคราม" เป็นเมืองระดับรอง มีจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประตูการค้า
"ภาคตะวันออก" มีจังหวัด "ชลบุรีและระยอง" เป็นเมืองศูนย์กลาง ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ฉะเชิงเทรา จันทบุรี"
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น