วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เร่งวางท่้อน้ำมันเชื่อมเหนือ-อีสาน หวังแจ้งเกิดภายใน3ปี กดราคาตจว.ลง30สต.


             "พงษ์ศักดิ์" เร่งคุมเข้มมาตรฐานความปลอดภัยใน รถใช้แอลพีจีก่อนจดทะเบียนให้ พร้อมเตรียมยกเลิก จดทะเบียนถาวรหวังให้รถหันไปใช้เอ็นจีวีแทน  พร้อมจี้ธพ. เร่งสรุปทำท่อน้ำมันไปเหนือ-อีสานอีก 3 ปี รวมมูลค่าลงทุน 1.9 หมื่นล้านบาท หวังกดราคาขายปลีกในต่างจังหวัดลงลิตรละ 30 สตางค์
          นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล  รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการสัมมนาโครงการ "พลังงานสัญจรสะท้อนความเห็น ผู้ประกอบการปี 2556" ซึ่งจัดโดยกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.)ว่าขณะนี้ได้หารืออย่างไม่เป็นทางการร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและคมนาคมที่จะควบคุมความปลอดภัยการใช้ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในรถยนต์หลังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้มงวดเรื่องมาตรฐานตัวถัง ขณะที่กรมการขนส่งทางบกจะเข้มงวดเรื่องของการตรวจสอบรถก่อนจดทะเบียนที่จะต้องติดตั้งให้ได้มาตรฐาน และระยะยาวได้มองไปถึงการยกเลิกการจดทะเบียนรถใช้แอลพีจีเพื่อให้หันไปใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์(เอ็นจีวี)ตามนโยบายรัฐ
          "ขณะนี้เราจะส่งสัญญาณไปยังผู้ใช้แอลพีจีในรถยนต์ที่จะต้องเข้มงวดมากขึ้นและเมื่อใดที่ปริมาณปั๊มเอ็นจีวีมีมากพอถึงตอนนั้นก็จะมองในเรื่องการยกเลิกการจดทะเบียนรถให้เพราะแอลพีจีมีอันตรายและการใช้ในรถยนต์ยังไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ประกอบกับรถเองก็มีทางเลือกที่จะใช้พลังงานทั้งพลังงานทดแทน และเอ็นจีวีที่มีราคาถูก" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
          เบื้องต้นจะเร่งขยายสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี การดูแลความปลอดภัยของรถยนต์และสถานีบริการก๊าซแอลพีจี ขณะเดียวกันได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจสอบสถานีบริการแอลพีจีทั่วประเทศไม่ให้บรรจุเกินปริมาณที่แจ้งไว้ หากพบว่ามีการดำเนินการจำหน่ายผิดวัตถุประสงค์จะถูกดำเนินคดี โดยหากพบว่ากระทำผิด 1 บิลการค้า จะถูกดำเนินคดี 1 คดี รวมกันแล้วทุกบิลจะถูกหลายคดี ซึ่งโทษทางกฎหมายจะปรับ 30,000 บาท จำคุกไม่เกิน 10 ปี ต่อ 1 คดี
          นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มอบให้ธพ.เร่งสรุปแนวทางการลงทุนวางท่อน้ำมันที่จะเชื่อมจากจ.ระยองไปยัง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี-จ.สระบุรี- จ.พิษณุโลก และอ.กบินทร์บุรีจ.นครราชสีมา-จ.ขอนแก่น
 ระยะทาง รวมทั้งหมด 1,000 กิโลเมตร และยังมีคลัง 5 แห่งได้แก่ คลังที่กบินทร์บุรี สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น และพิษณุโลก มูลค่าลงทุนรวม 1.9 หมื่นล้านบาทเพื่อทำให้ราคาน้ำมันทั่วประเทศเท่ากันที่คลังปลายท่อและเมื่อขนส่งจากคลังไปจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในต่างจังหวัดถูกลงอย่างต่ำ 30 สตางค์ต่อลิตร
          "การร่วมทุนก็จะต้องไปดูแนวทาง ความเหมาะสม ส่วนกรณีที่เอกชนบางราย ต้องการค่าผ่านท่อสูงเพราะต้องการทำกำไรจุดนี้คงไม่ได้เพราะรัฐเน้นที่จะให้บริการกับประชาชน ก็จะต้องไปดูรูปแบบที่จะทำให้ค่าผ่านท่อเป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าจะสรุปได้ในปีนี้และอีก 3 ปีข้างหน้าท่อทั้งหมดจะพร้อมบริการประชาชน" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
          พร้อมกันนี้กระทรวงพลังงานยังอยู่ระหว่างติดตามปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติของไทยเพราะเมื่อเร็วๆท่อก๊าซที่มาจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทยมาเลเซีย (เจดีเอ)ส่วนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุจากสมอเรือเกี่ยวทำให้ก๊าซที่ส่งมาไทยไม่เต็มระบบ ไทยจึงต้องนำสต๊อกก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)มาใช้แทน คาดว่าจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอยู่บ้าง และอีก 2 เดือนข้างหน้า พม่าจะหยุดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซประจำปี อาจกระทบต่อไทยเช่นกัน ดังนั้นเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงพลังงานและรัฐบาลจะออกมาตรการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ไฟอย่างประหยัด เพื่อป้องกันปัญหาไฟฟ้าขาดแคลนช่วงหน้าร้อน
ที่มา : แนวหน้า 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น