"ชัชชาติ"
แจงไฮสปีดไทย-ลาวเชื่อมจีน เตรียมตั้งคณะทำงานร่วม 3 ประเทศ ขณะที่ "แสนสิริ"สนับสนุนเต็มที่ เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและลดความแออัดในกรุงเทพฯ รุกขยายโครงการในต่างหวัด ล่าสุดสร้างยอดขายในหลายจังหวัดรวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท จ่อเปิด 2 โครงการในจังหวัดอุดรธานีและระยอง เผยอุดรธานีมีศักยภาพสูงในการตอบโจทย์การเปิด AEC และพัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูง
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ถึงความร่วมมือพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อจากประเทศจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มายังประเทศไทยนั้น ในเร็วๆ นี้ ทางกระทรวงคมนาคมจะไปหารือกับ นายทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ สปป.ลาว เพื่อสรุปรูปแบบการพัฒนาร่วมกัน จากนั้น จะตั้งคณะทำงานร่วม 3 ประเทศ ทั้งจีน สปป.ลาว และไทย ก่อนจัดประชุมเพื่อเร่งผลักดันโครงการดังกล่าวให้เสร็จ ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า แต่ละประเทศได้หารือไปหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด เพราะได้แยกการหารือออกเป็นฝ่าย เช่น ฝ่ายไทยหารือกับจีน หรือจีนไปหารือกับ สปป.ลาว โดยไม่เคยหารือร่วมกันครบทั้ง 3 ประเทศ จึงเห็นว่าจากนี้ไปต้องเร่งจัดประชุมร่วม 3 ประเทศ เพื่อให้แต่ละประเทศได้ข้อสรุปในทิศทางเดียวกัน
ด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ เปิดเผยว่า การลงทุนรถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง เป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากจะช่วยกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และลดความแออัดในกรุงเทพฯ โดยไม่อยากให้กังวลปัญหาคอรัปชัน จนไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ จะทำให้ไทยเหมือนถูกแช่แข็ง ขณะนี้สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นมากที่สุด คือ การตอกเสาเข็ม เพื่อทำให้เอกชนเกิดความมั่นใจในการวางแผนการลงทุนในอนาคตมากขึ้น นอกจากนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลไปสู่จังหวัดต่างๆ จะช่วยให้เกิดการลงทุน พัฒนาเมืองใหญ่ๆ ให้เติบโต ช่วยให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ ทำให้รัฐจะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า รวมทั้งมองว่าการสร้างรถไฟความเร็วสูงจะช่วยให้นักท่องเที่ยวพักอาศัยในเมืองไทยมากขึ้น จากเดิมอยู่เพียงแค่ 1-5 วัน และจะช่วยให้ลดปัญหาความสังคม เนื่องจากต่อไปครอบครัวจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องทิ้งลูกให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง แล้วตนเองต้องเดินทางมาทำงานในกรุงเทพฯ
ผลสำเร็จตามแผนการดำเนินธุรกิจในด้านรุกขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าของแสนสิริที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างเต็มรูปแบบในปี 2556 ล่าสุดบริษัทสามารถสร้างยอดขายหรือพรีเซลจากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในตลาดต่างจังหวัดได้แล้วถึง 10,000 ล้านบาท จากความสำเร็จในการทยอยปิดการขายโครงการใหม่ๆ ในทุกจังหวัดได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในหัวหิน-ภูเก็ต-ระยอง-พัทยา และขอนแก่น จำนวนทั้งสิ้น 8 โครงการ ใน 5 จังหวัดหลักทั่วประเทศ ขณะนี้บริษัทได้เตรียมเปิดการขายอีก 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ “เดอะ เบส ไฮท์-อุดรธานี” มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการรุกพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าในจังหวัดอุดรธานีเป็นครั้งแรก และ “ดีคอนโด นครระยอง” มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าในจังหวัดระยองต่อเนื่องเป็นโครงการที่ 2 ต่อจากโครงการแรกที่ได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายลงอย่างรวดเร็วในวันแรกของการเปิดพรีเซล คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัดเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมา
“การพัฒนาโครงการ “เดอะ เบส ไฮท์-อุดรธานี” จำนวนทั้งสิ้น 408 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท นับเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดอุดรฯ ตามแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านการเป็นศูนย์กลางการค้าและบริการของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เป็นศูนย์กลางการขนส่ง นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านความเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ประกอบกับในอนาคต อุดรธานี ยังเป็นจังหวัดที่จะมีศักยภาพที่สูงมากในการตอบโจทย์การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC รวมทั้งการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง, การพัฒนารางรถไฟระบบรางคู่ และโครงการทางหลวงอาเซียน (ASEAN Highway) ซึ่งจะเชื่อมโยงพื้นที่ศักยภาพของ 10 ประเทศอาเซียน ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพของจังหวัดอุดรธานี รวมทั้งยังมีแผนการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุดรธานีอย่างต่อเนื่อง ส่วนโดมิเนียมโครงการที่ 2 ในจังหวัดระยอง ภายใต้แบรนด์ “ดีคอนโด นครระยอง” จำนวนทั้งสิ้น 575 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาทนั้น เป็นการตอกย้ำความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการแรก" นายเศรษฐา กล่าว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ถึงความร่วมมือพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อจากประเทศจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มายังประเทศไทยนั้น ในเร็วๆ นี้ ทางกระทรวงคมนาคมจะไปหารือกับ นายทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ สปป.ลาว เพื่อสรุปรูปแบบการพัฒนาร่วมกัน จากนั้น จะตั้งคณะทำงานร่วม 3 ประเทศ ทั้งจีน สปป.ลาว และไทย ก่อนจัดประชุมเพื่อเร่งผลักดันโครงการดังกล่าวให้เสร็จ ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า แต่ละประเทศได้หารือไปหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด เพราะได้แยกการหารือออกเป็นฝ่าย เช่น ฝ่ายไทยหารือกับจีน หรือจีนไปหารือกับ สปป.ลาว โดยไม่เคยหารือร่วมกันครบทั้ง 3 ประเทศ จึงเห็นว่าจากนี้ไปต้องเร่งจัดประชุมร่วม 3 ประเทศ เพื่อให้แต่ละประเทศได้ข้อสรุปในทิศทางเดียวกัน
ด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ เปิดเผยว่า การลงทุนรถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง เป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากจะช่วยกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และลดความแออัดในกรุงเทพฯ โดยไม่อยากให้กังวลปัญหาคอรัปชัน จนไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ จะทำให้ไทยเหมือนถูกแช่แข็ง ขณะนี้สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นมากที่สุด คือ การตอกเสาเข็ม เพื่อทำให้เอกชนเกิดความมั่นใจในการวางแผนการลงทุนในอนาคตมากขึ้น นอกจากนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลไปสู่จังหวัดต่างๆ จะช่วยให้เกิดการลงทุน พัฒนาเมืองใหญ่ๆ ให้เติบโต ช่วยให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ ทำให้รัฐจะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า รวมทั้งมองว่าการสร้างรถไฟความเร็วสูงจะช่วยให้นักท่องเที่ยวพักอาศัยในเมืองไทยมากขึ้น จากเดิมอยู่เพียงแค่ 1-5 วัน และจะช่วยให้ลดปัญหาความสังคม เนื่องจากต่อไปครอบครัวจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องทิ้งลูกให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง แล้วตนเองต้องเดินทางมาทำงานในกรุงเทพฯ
ผลสำเร็จตามแผนการดำเนินธุรกิจในด้านรุกขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าของแสนสิริที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างเต็มรูปแบบในปี 2556 ล่าสุดบริษัทสามารถสร้างยอดขายหรือพรีเซลจากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในตลาดต่างจังหวัดได้แล้วถึง 10,000 ล้านบาท จากความสำเร็จในการทยอยปิดการขายโครงการใหม่ๆ ในทุกจังหวัดได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในหัวหิน-ภูเก็ต-ระยอง-พัทยา และขอนแก่น จำนวนทั้งสิ้น 8 โครงการ ใน 5 จังหวัดหลักทั่วประเทศ ขณะนี้บริษัทได้เตรียมเปิดการขายอีก 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ “เดอะ เบส ไฮท์-อุดรธานี” มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการรุกพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าในจังหวัดอุดรธานีเป็นครั้งแรก และ “ดีคอนโด นครระยอง” มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าในจังหวัดระยองต่อเนื่องเป็นโครงการที่ 2 ต่อจากโครงการแรกที่ได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายลงอย่างรวดเร็วในวันแรกของการเปิดพรีเซล คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัดเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมา
“การพัฒนาโครงการ “เดอะ เบส ไฮท์-อุดรธานี” จำนวนทั้งสิ้น 408 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท นับเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดอุดรฯ ตามแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านการเป็นศูนย์กลางการค้าและบริการของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เป็นศูนย์กลางการขนส่ง นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านความเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ประกอบกับในอนาคต อุดรธานี ยังเป็นจังหวัดที่จะมีศักยภาพที่สูงมากในการตอบโจทย์การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC รวมทั้งการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง, การพัฒนารางรถไฟระบบรางคู่ และโครงการทางหลวงอาเซียน (ASEAN Highway) ซึ่งจะเชื่อมโยงพื้นที่ศักยภาพของ 10 ประเทศอาเซียน ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพของจังหวัดอุดรธานี รวมทั้งยังมีแผนการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุดรธานีอย่างต่อเนื่อง ส่วนโดมิเนียมโครงการที่ 2 ในจังหวัดระยอง ภายใต้แบรนด์ “ดีคอนโด นครระยอง” จำนวนทั้งสิ้น 575 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาทนั้น เป็นการตอกย้ำความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการแรก" นายเศรษฐา กล่าว
ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น