วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

'เกียรตินาคิน' ฟันธง 13 หัวเมืองต่างจังหวัด...อสังหาฯดาวเด่น


           KK-ธนาคารเกียรตินาคินจัดสัมมนา ใหญ่ปีละครั้ง ปีนี้เปิดเวทีชวนคุยหัวข้อ "กรุงเทพฯ คือปัจจุบัน...ภูมิภาค คืออนาคต" ท่ามกลางข้อห่วงใยแนวโน้มปัญหาฟองสบู่ ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยฟันธงว่ามีถึง 13 หัวเมืองต่างจังหวัดน่าลงทุนพัฒนาโครงการ
          อสังหาฯยังโตได้อีก
          "ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปี 2556 มองว่ายังอยู่ในช่วงฟื้นตัวของที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล หลังเกิดปัญหาอุทกภัยปี 2554 อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าอุปสงค์และอุปทานจะขยายตัวอยู่ที่5.2% และ 16.5% ตามลำดับ..." คำกล่าว เปิดประเด็นของ "ศราวุธ จารุจินดา"ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ของ KK
          ตามต่อด้วยมือวิจัยข้อมูล "ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ระบุว่า แนวโน้มตลาด อสังหาริมฯในพื้นที่ต่างจังหวัดมีโอกาสเติบโตอย่างมาก สะท้อนจากอัตราขยายตัวของยอดสินเชื่อคงค้างของภูมิภาคต่าง ๆ อยู่ในระดับสูงกว่าเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
          เปิดโพย 13 จังหวัดโตแน่
          ทั้งนี้ หัวเมืองที่คาดว่าจะมีศักยภาพเติบโตมี 13 จังหวัด แบ่งเป็น 2 เวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นตลาดอสังหาฯ ที่เติบโตสอดคล้อง กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจมี 6 จังหวัด คือชลบุรี ภูเก็ต ขอนแก่น ระยอง อุบลราชธานี และลำปาง กับเวอร์ชั่นอสังหาฯ ที่มีโอกาสเติบโตในอนาคตอันใกล้ 7 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม หนองคาย บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว กาญจนบุรี และพิษณุโลก
          แนวโน้มดังกล่าว เป็นส่วนผสมมาจากปัจจัยหนุนหลายด้านรวมกัน เริ่มจากนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโตขึ้น (Urbanization) โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ เมืองท่องเที่ยว ทั้งภูเก็ต หัวหิน พัทยา กับเมืองธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งมีโฟกัสอยู่ที่ระยอง ชลบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา
          นอกจากนี้ กระแสการรวมกลุ่มเปิดการค้าเสรี โดยเฉพาะการนับถอยหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่นำไปสู่การลงทุนพัฒนาเส้นทางคมนาคมระหว่างภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดชายแดน และจังหวัดตามเส้นทาง GMS อาทิ หนองคาย สระแก้ว และพิษณุโลก เป็นต้น
          ประชากรเขตเมือง ตจว.โตจี๊ด
          "ดร.ปิยศักดิ์" แจกแจงว่า เหตุที่กล้าฟันธงมี 13 จังหวัดแนวโน้มอนาคตธุรกิจอสังหาฯ มาจาก 4 ปัจจัยหลักด้วยกัน คือภูมิภาคนิยม กระแสสังคมเมือง นโยบายเศรษฐกิจมหภาคของรัฐบาล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
          เริ่มจากปัจจัย "กระแสสังคมเมือง- Urbanization" ภาพที่เริ่มเป็นรูปธรรมชัดเจนเป็นลำดับ นับตั้งแต่นโยบายค่าแรง 300 บาท ได้เห็นภาพแรงงานคืนถิ่น ได้เห็นภาพคนชนบทเข้ามาพักอาศัย และทำงานในเขตเมือง เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรมมากขึ้น
          ตัวชี้วัดที่ชัดเจนคือ "รายได้ประชากร" ประเมินจากปี 2503 มีประชากร 5 ล้านคน อาศัยในเขตเมืองโดยประมาณ ปัจจุบัน ปี 2556 พบว่าเพิ่มจำนวนเป็น 23 ล้านคน ประเมินว่าภายในปี 2563 ประชากรในเขตเมืองจะทวีจำนวนเป็น 29 ล้านคน นั่นหมายถึงมากกว่า 50% ของทั่วประเทศ ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยมากทวีคูณ
          ในเวลาเดียวกัน ประเด็นรายได้ต่อครัวเรือนในเขตภูมิภาคช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็เติบโตเร็วกว่าเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือมีอัตราเติบโต 120-140% ขณะที่ เขตกรุงเทพฯโตราว ๆ 60% มีผลบวก ทางตรง เพราะรายได้มากขึ้น ความต้องการ ปัจจัย 4 ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย
          GMS ปลุกจังหวัดหน้าด่านโต
          ปัจจัย "นโยบายเศรษฐกิจมหภาค" พบว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน 2-3 ปี จนถึง 15 ปีหน้า จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยครั้งใหญ่ เป็นผลลัพธ์จากนโยบายค่าแรง 300 บาท นโยบายจำนำข้าว ที่สนับสนุนรายได้เกษตรกร เท่ากับเพิ่มกำลังซื้อให้กับกลุ่มรากหญ้า ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
          ปัจจัย "การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน" โครงการแห่งความหวังในต่างจังหวัด หนีไม่พ้นรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรน ในอนาคตเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ จะทำให้เชื่อมโยงการเดินทางจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่งได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ผลพลอยได้อัตโนมัติ คือทำให้มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวรถไฟความเร็วสูง เพราะเคลื่อนที่เข้ากรุงเทพฯได้ง่ายและเร็วขึ้นนั่นเอง
          และสุดท้ายปัจจัย "ภูมิภาคนิยม" เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าไทยร่วมกับเพื่อนบ้าน 10 ประเทศเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่การเปิดเสรีเป็นเออีซีตลาดเดียว โดยเฉพาะ ความร่วมมืออนุภาคลุ่มน้ำโขง GMS มี 3 เส้นทางหลัก ๆ ที่เรียกว่า "ระเบียงเศรษฐกิจ" คือ 1.แนวเหนือ-ใต้ เชื่อมคุนหมิง ดานัง ท่าขี้เหล็ก แม่สาย กรุงเทพฯ 2.แนวตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมเมืองท่าดานัง ผ่านสะหวันนะเขต เข้าไทยที่ จ.มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ลากยาวผ่านอ่าวรายาวดี เมียนมาร์ 3.แนวใต้ เชื่อมเมืองโฮจิมินห์ ผ่าน กรุงเทพฯ ทะลุไปถึงเมืองทวาย ซึ่งเป็น แนวเส้นทางที่รัฐบาลเมียนมาร์ออก แรงผลักดันอย่างมาก เพราะทวายจะได้กลายเป็นแลนด์มาร์กในการขนส่ง สินค้าจากเวียดนามเข้าสู่โซนมหาสมุทรอินเดีย
          ประเทศไทยในฐานะอยู่จุดศูนย์กลาง GMS จังหวัดหน้าด่านหรือจังหวัดศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย (ด่านชายแดนเชียงแสน เชียงของ) พิษณุโลก มุกดาหาร หาดใหญ่ กาญจนบุรี ตาก ได้รับอานิสงส์ทั้งหมด
          ตัวชี้วัด คือจังหวัดชายแดนมีตัวเลขการเติบโตการค้าแทบทุกด่าน โดยเฉพาะ ภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นหนองคาย มุกดาหาร ปี 2555 โตถึง 20-30% ทั้งในแง่มูลค่าการค้าชายแดน และการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่
          KK จะโตไปกับรายกลาง-รายเล็ก
          ศราวุธ จารุจินดา" ประธานสายสินเชื่อธุรกิจของ "KK-ธนาคารเกียรตินาคิน" ให้สัมภาษณ์เปิดแผนสินเชื่อธุรกิจ KK BIZ หรือสินเชื่อธุรกิจอสังหาฯ ว่า ปีนี้ขอโตจากปีที่แล้ว 34% เดิมทำยอดได้ 25,000 ล้านบาท ปีนี้เพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท
          เป็นที่รับรู้ในวงการว่า สินเชื่อ KK เติบโตมาจากฐานผู้ประกอบการ รายกลาง-รายเล็ก "ศราวุธ" ไขเคล็ดลับว่า มี 2 หลักการที่ผลักดันสู่ความสำเร็จ
          1.ความเชี่ยวชาญของธนาคาร ปลูกฝังความรู้จริงให้พนักงาน ทีมงานจึงพรั่งพร้อมไปด้วยวิศวกร สถาปนิก ฝ่ายการตลาด
          "วิศวกรของเราต้องบอกได้ว่าเวลาใช้เทคนิคการก่อสร้างอย่างนี้มีความเหมาะสมอย่างไร ถ้าจะเปลี่ยนไปใช้ พรีแคสต์หรือระบบสำเร็จรูปต้อง ทำอย่างไร ส่วนสถาปนิกต้องบอกได้ว่า แบบบ้านของลูกค้ามีจุดบกพร่องอย่างไร ถูกต้องตามกฎหมายเพียงไร..."
          2.ความใส่ใจของพนักงานและไว้ใจได้ นั่นคือพนักงานต้องใส่ใจและไว้ใจได้ การใส่ใจเพื่อให้รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร นำไปวิเคราะห์ด้วยความโปร่งใส เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด
          สำหรับทิศทางการให้สินเชื่อโครงการของ KK ยังคงมุ่งหน้าสนับสนุนต่อไป หากแต่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเริ่มหนาแน่นขึ้น ดังนั้น พื้นที่เป้าหมายจึงมองการขยายฐานลูกค้าสินเชื่อโครงการไปยังภูมิภาคหัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น
          ทั้งหมดนี้ตอบสนองหลักการสำคัญขององค์กรคือ "...เรามองไม่ใช่แค่เป็นลูกค้า แต่เป็นพันธมิตร"
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

บินไทยลดค่าตั๋วสงกรานต์ 50%


           นายดนุช บุนนาค รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการพาณิชย์ บมจ.การบินไทย เปิดเผยว่า ได้จัดโปรโมชั่นสงกรานต์ เซเรเบชั่น ปี 56 จำหน่ายบัตรโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัดราคาพิเศษเที่ยวเดียว เส้นทางภายในประเทศ จากทุกจุดบินของการบินไทยและการบินไทยสมายล์ในต่างจังหวัดที่บินเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 11-13 เม.ย. ลดราคาบัตรโดยสารจากราคาปกติถึง 50% เพื่อต้องการให้คนต่างจังหวัดมาเที่ยวกรุงเทพฯ เช่น เส้นทางบินเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,435 บาท เชียงราย-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,570 บาท ขอนแก่น-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,215 บาท
          ส่วนอุดรธานี-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,260 บาท อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,320 บาท กระบี่-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,545 บาท ภูเก็ต-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,605 บาท สุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,480 บาท หาดใหญ่-กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นที่ 1,755 บาท โดยราคาดังกล่าวรวมค่าภาษีและค่าธรรมเนียมทุกประเภทแล้ว ซึ่งมีที่นั่งจำนวนจำกัดในแต่ละเที่ยวบิน รวมทั้งได้จำหน่ายราคาบัตรโดยสารราคาพิเศษเที่ยวเดียว เฉพาะเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯไปยังทุกจุดบินของการบินไทยและการบินไทยสมายล์ในต่างจังหวัด ระหว่างวันที่ 15-17 เม.ย. โดยใช้ราคาบัตรโดยสาร
          นอกจากนี้ ได้เพิ่มเที่ยวบินภายในประเทศ ทั้งเที่ยวบินของการบินไทยและการบินไทยสมายล์ ได้แก่ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต และกรุงเทพฯ-กระบี่ รวมจำนวนที่นั่งเพิ่มขึ้นกว่า 4,800 ที่นั่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและรองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสาร ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์.
ที่มา : ไทยรัฐ 

มข.แลกเปลี่ยนนักศึกษา


  รายงานข่าวจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) แจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ รศ.ดร.นพมาศ สุวชาติ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และนายพงศ์พันธุ์ ศรัทธาทิพย์ รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และกิจการพิเศษ ได้นำคณาจารย์และฝ่ายสนับสนุนเดินทางไปทัศนศึกษาดูงาน ที่สาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ ในโครงการเจรจาความร่วมมือต่างประเทศและทัศนศึกษาดูงาน เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ สร้างโอกาสให้นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนและรับทุนการศึกษา พัฒนาการเรียนการสอน งานบริหารจัดการสายสนับสนุน งานวิจัยระดับคณะและมหาวิทยาลัย ตามประเด็นยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย
          ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านระบบบริหารจัดการที่ดี และยุทธศาสตร์ ที่ 3 ด้านการพัฒนานักศึกษา โดยแบ่งการศึกษาดูงานเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การศึกษาดูงานเรื่องห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยยอนไซ ปรับใช้กับโครงสร้างห้องสมุดคณะวิทยาการจัดการ โดยมีแผนการปรับปรุงแล้วเสร็จในเดือนมิ.ย.นี้
          ส่วนที่ 2 เป็นการเจรจาลงนามความร่วมมือระหว่างม.ฟาร์ อีสต์ แลกเปลี่ยนนักศึกษาไทย-เกาหลี ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เรียนรู้วัฒนธรรม สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยลงนามความร่วมมือแลกเปลี่ยนนักศึกษากับคณะวิทยาการจัดการ
ที่มา : ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ขอนแก่นจัดสงกรานต์ประหยัดน้ำ"ซิดแทนสาด"


          ขอนแก่นจัดสงกรานต์สนุก ปลอดภัยไร้แอลกอฮอล์ ปีนี้ทำเก๋จัดสงกรานต์ประหยัดน้ำ "ซิดแทนสาด" รณรงค์ให้ประชาชนเล่นน้ำสงกรานต์อย่างประหยัด
          นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธุ์ นายก เทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวว่า เนื่องจาก ปีนี้เทศบาลได้ตระหนักถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน
 มีหลายพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ ทำให้พี่น้องเกษตรกรเดือด ร้อนเพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์ที่งดงามและสนับสนุนให้ประชาชน ตลอดทั้งนักท่องเที่ยวร่วมตระหนักในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้นำคำว่า "ซิด" ซึ่งเป็นกิริยาการอาการของคำว่าสะบัด หรือแกว่งในภาษาอีสานมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม คือ "ซิดแทนสาด" ให้เกิดกระแสการรณรงค์เล่นน้ำที่ประหยัดใช้ปริมาณน้ำน้อยทดแทนการใช้ น้ำปริมาณมากและได้ประโยชน์ร่วมกัน ตามแบบฉบับของการเล่นน้ำที่ถนนข้าวเหนียว
          เทศบาลจึงได้พัฒนารูปแบบการจัดงานให้มีความเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่า จึงได้กำหนดช่วงเวลาการจัดงานใหม่คือ บริเวณบึงแก่นนคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-12เมษายน และบริเวณถนนข้าวเหนียว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน สำหรับกิจกรรมภายในงานสามารถเที่ยวได้อย่างเต็มอิ่มกับศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตร รดน้ำขอพรผู้สูงอายุขบวนแห่เกวียนบุปผชาติ ขบวนแห่พระพุทธพระลับ-พระพุทธอภัยมงคงสมังคี ขบวนสงกรานต์ ประกวดเสียงทองดอกคูน รำวง ย้อนยุค แข่งขันกีฬา และคอนเสิร์ตลูกทุ่ง ชื่อดัง ชมฟรีตลอดทั้งงัน
          ที่ขาดไม่ได้คือ กิจกรรมถนนข้าวเหนียวซึ่งมีนักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนมารอเล่นคลื่นมนุษย์ซิดน้ำ โดยเวลาที่กระโดดขึ้นทุกคนก็จะชูมือขึ้นสุดตัวพร้อมกับสะบัดมือทำท่า "ซิดน้ำ" พร้อม ๆ กัน ถือเป็นไฮไลท์ของงานปีนี้ด้วย พร้อมสนุกกับเวทีคอนเสิร์ตกว่า 14 เวที ภายใต้สโลแกน การเล่นน้ำที่สนุก คุ้มค่า และร่วมรณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัดว่า "ซิดแทนสาด ช่วยชาติประหยัดพลังงาน" ที่มีศิลปินชื่อดังหลายท่านมาร่วมกิจกรรมในงานอย่างมากมาย โดยเทศบาลได้จัดเตรียม "แนวซิดน้ำ" ซึ่งเป็นอุปกรณ์การเล่นน้ำชนิดใหม่หนึ่งเดียวในโลกแจกจ่าย จำนวน 25,000 อันให้ทุกท่าน
          หากใครจะมาเล่นน้ำสงกรานต์ที่นี่ก็ต้องขยับท่าซิดน้ำไว้ด้วย หรือเตรียมสเต็ปกับท่าเต้นซิดน้ำได้ที่เฟซบุ๊กงานสงกรานต์ถนนข้าวเหนียวขอนแก่น นอกจากนี้ยังมีการ์ดเชิญเทคนิคพิเศษที่บรรสุเสียงแคน ท่าเต้นซิดน้ำที่ตื่นตาตื่นใจ
ที่มา คม ชัด ลึก 

แบงก์ไม่พบฟองสบู่อสังหาฯ จับตาราคาที่ดินตจว.พุ่งแรง


          แบงก์พาณิชย์สวน  “โกร่ง”  ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์  ลูกหนี้โครงการ-รายย่อยยังชำระหนี้เป็นปกติ  ชี้เงินนอกไหลเข้าเก็งกำไรหุ้น-ตราสาร  มากกว่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีสภาพคล่องน้อย  แต่ยอมรับราคาที่ดินเปล่าต่างจังหวัดพุ่งแรง  ส่งผลต้องจับตาดูเป็นพิเศษ
          จากกรณีที่  ดร.วีรพงษ์  รามางกูร  ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.)  แสดงความเป็นห่วงว่า  มีสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกในภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้  สาเหตุจากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้น  และตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยเป็นจำนวนมาก
          เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว  นายเวทย์  นุชเจริญ  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน  สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย  ธนาคารกรุงไทย  (KTB)  เปิดเผยกับ  “ดอกเบี้ยธุรกิจ”  ว่า  การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างชาติในปัจจุบันเป็นการเข้ามาลงทุนอยู่ในส่วนของตลาดทุน  ตราสารหนี้  และพันธบัตรต่างๆ  มากกว่าการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์  เห็นได้จากตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.)  ที่มีการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดทุน  เนื่องจากการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์  เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะได้ผลตอบแทนกลับคืน  หรือมีสภาพคล่องน้อยกว่าการลงทุนในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้  ดังนั้น  จึงยังไม่น่าจะมีสัญญาณภาวะฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์
          อย่างไรก็ดี  ในส่วนของธนาคารกรุงไทยได้ให้ความระมัดระวัง  ภายหลังจากประธานคณะกรรมการ  ธปท.ออกมาส่งสัญญาณดังกล่าว  เนื่องจากช่วงที่ผ่านมากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ต่างจังหวัด  เช่น  อุดรธานี  ขอนแก่น  มีอัตราการเติบโตค่อนข้างรวดเร็ว  รวมทั้งมีราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วมาก  ทำให้มีความเป็นห่วงมากกว่าพื้นที่อื่นที่มีการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน  แต่ยังเป็นการเติบโตที่สอดคล้องกับความต้องการและเศรษฐกิจ  เช่น  หาดใหญ่  ระยอง  และชลบุรี  เป็นต้น
          ทั้งนี้  เชื่อว่าในส่วนของผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีความระมัดระวังมากขึ้น  เนื่องจากเคยได้รับบทเรียนในอดีตยุคที่ฟองสบู่แตกในปี  2540  ทำให้ผู้ประกอบการเน้นการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ตามความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคมากกว่าการกระตุ้นยอดขายแบบเร่งรีบโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง 
          ขณะที่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยในส่วนของสินเชื่อผู้ประกอบการ  ธนาคารมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ควรระวัง  จะมีการคัดกรองลูกค้าอย่างละเอียดและรอบคอบ  มีการพิจารณาก่อนการปล่อยสินเชื่อเข้มงวดทุกขั้นตอน  และมีการพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการทุกราย  เพื่อความมั่นใจก่อนอนุมัติสินเชื่อ
          สำหรับในส่วนของลูกค้ารายย่อย  ปัจจุบันสัญญาณการชำระหนี้ก็ยังคงเป็นปกติ  ยังไม่มีกลุ่มที่ผิดนัดชำระหนี้อย่างผิดสังเกต  ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานลูกค้ารายย่อยของกรุงไทยไม่เหมือนสถาบันการเงินแห่งอื่น  โดยฐานลูกค้าส่วนใหญ่  จะอยู่ในกลุ่มข้าราชการ  พนักงานรัฐวิสาหกิจ  และพนักงานเอกชน  ซึ่งทั้ง  3  กลุ่มเป็นกลุ่มใช้บัญชีเงินเดือนผ่านธนาคาร  (Pay  Roll)  ทั้งสิ้น  ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระได้
          “การป้องกันของเรา  คือ  การสกรีนลูกค้ามากขึ้น  โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่  จะมีการลงไปคุยด้วยทุกราย  และพื้นที่ต่างจังหวัดเราระมัดระวังมากขึ้น  เพราะราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างมาก  และโครงการขึ้นเร็วและขายไว  จึงต้องลงไปดูรายละเอียด  โดยเฉพาะในพื้นที่อุดรธานี  ขอนแก่น  ส่วนรายย่อย  คงจะไม่มีปัญหา  เพราะฐานลูกค้าเราไม่เหมือนที่อื่น  เรามีแต่ข้าราชการ  รัฐวิสาหกิจ  ที่มีเงินเดือนผ่านแบงก์  จึงไม่ค่อยกังวล”  นายเวทย์  กล่าว
          ด้าน  นายชาติชาย  พยุหนาวีชัย  รองกรรมการผู้จัดการ  ธนาคารกสิกรไทย  (KBANK)  กล่าวว่า  สัญญาณการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์  จะต้องแบ่งเป็น  2  ประเด็น  คือ  1.การซื้อที่ดินเปล่า  2.การซื้อบ้าน-ที่ดิน-คอนโดมิเนียม  โดยปัจจุบันการซื้อบ้าน  เพื่อเก็งกำไรมีน้อยมาก  เนื่องจากราคาบ้านในแถบชานเมืองไม่มีการปรับราคา  และราคาบ้านใหม่ก็ค่อนข้างสูง  จึงไม่มีการเก็งกำไรในส่วนของบ้าน 
          ขณะที่คอนโดมิเนียม  อาจจะมีการเก็งกำไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา  เนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมค่อนข้างสูง  ทำให้มีการซื้อขายต่อกันมากในช่วง  3  ปีที่ผ่านมา  แต่อย่างไรก็ดี  คอนโดมิเนียมที่เกิดใหม่ในช่วงนี้  เป็นการตั้งราคาเผื่อไว้ในอนาคตประมาณ  20-30%  ทำให้ผลต่างจากราคาของคอนโดมิเนียมที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรน้อยลง  ทำให้การซื้อคอนโดเพื่อเก็งกำไรไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 
          ขณะเดียวกัน  หากย้อนดูตัวเลขการขอจดทะเบียนก่อสร้างคอนโดมิเนียมในเขต  กทม.-ปริมณฑลพบว่าลดลงต่อเนื่อง  แสดงให้เห็นว่าซัพพลายมีไม่มาก  เนื่องจากไม่มีพื้นที่ในการก่อสร้าง  จึงเป็นข้อจำกัดในการสร้าง  และที่ผ่านมาการซื้อเป็นความต้องการที่แท้จริง  ประกอบกับเรื่องเงินทุนไหลเข้า  ถ้าจะมีการเก็งกำไร  จะอยู่ในส่วนของตลาดทุนมากว่าภาคอสังหาริมทรัพย์  ดังนั้นจึงตัดการเก็งกำไรในกลุ่มคอนโดฯ  ไปได้ 
          ส่วนการซื้อที่ดินเปล่า  พบว่ามีแนวโน้มการซื้อเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น  เนื่องจากราคาที่ดินเปล่าปรับเพิ่มขึ้นรวดเร็วในบางพื้นที่  โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ  เช่น  พื้นที่ติดกับการค้าชายแดน  หรือเมืองศูนย์กลาง  อาทิ  เชียงใหม่  สงขลา  หาดใหญ่  เป็นต้น  โดยโอกาสนี้จะเห็นว่ามีคนต่างถิ่นเข้ามาซื้อที่ดินเปล่าเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น  จึงเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันระมัดระวังเป็นพิเศษ
          “เงินทุนไหลเข้ามาซื้อ  เชื่อว่าคงไม่ได้มุ่งมาซื้อในลักษณะแบบจิ๊บจ๊อยเป็นยูนิต  แต่หากเป็นการเก็งกำไรคงมุ่งมาที่โครงการขนาดใหญ่  หรือลงทุนในพร็อพเพอร์ตี้  ฟันด์มากกว่า  สิ่งที่เราต้องติดตาม  คือ  การเก็งกำไรในที่ดินเปล่า  เพราะราคาที่ดินปรับขึ้นมาก  ซึ่งราคาควรเป็นไปตามกลไกตลาด  ไม่ใช่เป็นการปั่นราคาที่ดิน  ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาการเก็งกำไรจะเกิดขึ้นในส่วนของรายย่อย  แต่ปัจจุบันจะเป็นการเก็งกำไรในส่วนของที่ดิน  จึงต้องช่วยกันดู”  นายชาติชาย  กล่าวและว่า
          สำหรับในส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคาร  ปัจจุบันการชำระหนี้ยังคงเป็นปกติ  โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  (เอ็นพีแอล)  อยู่ในระดับต่ำที่  1.4%  อย่างไรก็ดี  ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด  หากมีสัญญาณของฟองสบู่  หรือปัจจัยความเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบ  ธนาคารจะมีการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น  ขณะที่ตอนนี้ยังไม่มีการเพิ่มมาตรการอะไรเป็นพิเศษออกมา  เพราะเชื่อว่าการอนุมัติสินเชื่อปัจจุบันก็ค่อนข้างเข้มงวดอยู่แล้ว
          ส่วน  นางสาวดุษณี  เกลียวปฏินนท์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่  ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อรายย่อย  (CIMBT)  แสดงความคิดเห็นว่า  การเก็งกำไรในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์จากเงินทุนไหลเข้านั้นอาจจะมีบ้าง  แต่ไม่มากนักจนเป็นต้นเหตุของฟองสบู่  เพราะส่วนใหญ่เกิดจากความต้องการเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  (AEC)  ประกอบกับผู้กำกับนโยบายอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.)  คงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด  ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการควบคุมภาวะฟองสบู่  โดยการออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน  (LTV)  ซึ่งช่วยลดความร้อนแรงในกลุ่มภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
          ทั้งนี้  สัญญาณฟองสบู่ในตอนนี้  เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นอย่างมาก  แต่ในแง่ภาคธนาคารพาณิชย์มองว่า  ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย  ยังคงเป็นไปตามกระบวนที่เข้มงวด  การซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าจะต้องมีวัตถุประสงค์  แหล่งที่มาของรายได้  แม้ว่าจะเป็นการซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่  2  และ  3  ก็ตาม  โดยแต่ละสถาบันการเงินจะต้องมีขั้นตอนในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อ  ซึ่งจะเป็นตัวที่คัดกรองลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ 
          อย่างไรก็ดี  แม้ว่าปัจจุบันการชำระหนี้ของลูกค้าธนาคารยังเป็นปกติ  และสัญญาณฟองสบู่ยังไม่ชัดเจน  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  คือ  ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก  ตลอดจนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของต่างจังหวัดมีการขยายตัวค่อนข้างสูง  โดยเฉพาะภาคตะวันออก  และภาคอีสาน  มีปริมาณการซื้อขาย  และการเปิดโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก  ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งในส่วนของดีมานด์จริง  และดีมานด์เทียม  จึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 
          “เรื่องฟองสบู่  เป็นเรื่องที่เราต้องติดตาม  แต่อย่ากังวล  หลายฝ่ายเคยมีประสบการณ์ซึ่งถือเป็นบทเรียนจากเรื่องนี้มาแล้ว  ส่วนในแง่แบงก์เองการปล่อยสินเชื่อทุกอย่างมีขั้นตอน  มีข้อกำหนด  ทั้งเกณฑ์การผ่อนชำระ  เกณฑ์รายได้  ซึ่งจะเป็นตัวควบคุม  ตลอดจนผู้ที่มีหน้าที่ดูแล  ก็มีการออกมาตรการควบคุมอีกขั้น  จึงไม่น่าเป็นกังวล  แต่สิ่งเกิดขึ้นตอนนี้  คือ  ราคาที่ดินขึ้นสูง  ตลาดต่างจังหวัดเติบโตเร็ว  ซึ่งมีทั้งดีมานด์จิรง  และดีมานด์เทียม  เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันติดตาม”  นางสาวดุษณี  กล่าว
ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ 

ร.ฟ.ท.ชงครม.รถไฟทางคู่5เส้นทางอ้อนสร้างก่อนแล้วค่อยขออีไอเอ


            นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด ร.ฟ.ท.เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ดาเนินโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนพร้อมกัน 5 เส้นทาง คือ 1.สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร 2.สายนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร 3.สายลพบุรี-ปากนาโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร 4.สายนครราชสีมา-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร และ 5.สายประจวบคีรีขันธ์ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร รวมระยะทาง 767 กิโลเมตร เพื่อให้ทุกโครงการสามารถดาเนินการได้พร้อมกันทั้งหมด ภายหลังล่าช้ากว่ากาหนดแล้วประมาณ 2 ปี
          ทั้งนี้ การกาหนดให้เป็นโครงการเร่งด่วนเพื่อให้สามารถดาเนินงานตามขั้นตอนควบคู่ไปกับการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และให้สามารถประกวดราคาโครงการที่ผ่านอีไอเอได้ทันที โดยไม่จาเป็นต้องรอให้พิจารณาครบทุกเส้นทางก่อน โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ร.ฟ.ท.จะต้องพิจารณารายละเอียดด้านต่างๆ รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนนาเสนอกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป
          นางสร้อยทิพย์กล่าวว่า สาหรับงบประมาณในการก่อสร้างรถไฟทางคู่ดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งของเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล จากเดิมที่เป็นงบพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานที่ ครม.เคยอนุมัติให้ ร.ฟ.ท.ดาเนินการรวม 1.76 แสนล้านบาท โดยยืนยันว่าในอดีตสามารถดาเนินโครงการควบคู่กับอีไอเอได้ แต่ต่อมาได้เสนอ ครม.ให้ต้องผ่านอีไอเอก่อน ดังนั้น หากจะดาเนินโครงการเร่งด่วนจึงต้องเสนอ ครม.ให้พิจารณาอนุมัติ
          อย่างไรก็ตาม การประกวดราคาสัญญา 3 งานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน มูลค่า 28,899 ล้านบาท รถไฟชานเมืองสายสีแดง ยังไม่ได้นาเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด จากเดิมที่คาดว่าจะนาเข้าสู่การพิจารณาได้ เนื่องจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ในฐานะเจ้าของเงินกู้ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการอีกเล็กน้อย จึงต้องชี้แจงให้ไจก้ารับทราบก่อน
          แหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ร.ฟ.ท.เตรียมเสนอบอร์ดพิจารณาการประราคา หลังจากได้ข้อสรุปว่ามีเอกชนที่ยื่นซองประกวดราคาสัญญา 3 จานวน 2 ราย ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดซองด้านเทคนิค จากทั้งหมด 4 ราย โดยผู้ที่ผ่านการพิจารณา คือ 1.กิจการร่วมค้า MHSC Consortium ได้แก่ บริษัท MITSUBISHI Heavy Industrial Ltd, Hitachi, Sumitomo Corporation และ 2.กิจการร่วมค้า MIR Consortiumได้แก่ บริษัท Maru Beni coporation บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนท์ จากัด (มหาชน)
ที่มา : มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

ททท.ขอนแก่น ชวนประกวดคลิปวีดีโอ


                ททท. สำนักงานขอนแก่น ได้ส่งเสริมและกระตุ้นเส้นทางท่องเที่ยว ไดโนเสาร์สะออน : ขอนแก่น  กาฬสินธุ์เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้เรื่องไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย โดยจัดกิจกรรมการประกวดคลิปวีดีโอความยาวไม่เกิน 5 นาที ในหัวข้อ ไปเที่ยวกัน...ไดโนเสาร์ สะออน : ขอนแก่น – กาฬสินธุ์”  ตัดสินรางวัลจากยอดการชมคลิปวีดีโอทางสื่อสังคมออนไลน์ Youtube ชิงรางวัล แพ็คเกจห้องพัก  2  คืน  ในโรงแรมชั้นนำแห่งเมืองขอนแก่น แจกต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ 6 รางวัล  และชิงรางวัลใหญ่แพ็คเกจ บินไปกลับ ขับรถเที่ยว 2 วัน ที่ใจกลางอีสานนอกจากนี้ยังแจกเสื้อยืดไดโนเสาร์สะออน สำหรับทุกคลิปที่ส่งร่วมสนุกอีกด้วย
          การจัดกิจกรรมประกวดคลิปวีดีโอครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก  บริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) บริษัท ไทย เร้นท์ อะ คาร์ (1978)จำกัด โรงแรมราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล โรงแรมบุษราคัม โรงแรมโฆษะ โรงแรมเจริญธานีขอนแก่น โรงแรมเซ็นทารา คอนเวนชันเซ็นเตอร์ ขอนแก่น และ โรงแรมพูลแมน  ขอนแก่น ราชาออคิด ในการสนับสนุนรางวัลการจัดประกวด 
          ผู้สนใจสามารถติดตามกติกาการประกวดได้ที่www.facebook.com/TAT.KhonkaenOffice  และส่งผลงานร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม  2556  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  ททท.สำนักงานขอนแก่น  โทร  0 4322 7714 – 6
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 

ททท.ดัน'อีสาน'ฮับเที่ยวเออีซี ออกแบบ5กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์


ททท.ปั้นท่องเที่ยวอีสานรับศูนย์กลางเออีซี หวัง รายได้หลังปี 58 เติบโตมากกว่า 10% วางกลยุทธ์ออกแบบ 5 กลุ่มสินค้าฉีกแนวเน้นไลฟ์สไตล์ครอบคลุมทุกตลาด
             นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ได้วางกลยุทธ์กระตุ้นการท่องเที่ยวให้กับ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจัดโครงการ "อีสาน Lets Go" ออกแบบสินค้า 5 กลุ่มท่องเที่ยวครอบคลุม เป้าหมายทุกเซกเมนต์ เพื่อเป้าหมายเพิ่มจำนวนคนไป เที่ยวอีสานเป็น 22 ล้านคนครั้งในปีนี้ และทำรายได้เป็น 4.8 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5% ปลุกกระแสต่อเนื่อง ก่อนการเปิดเออีซี ในปี 2558 ซึ่งจะทำให้ภาคอีสานเป็น ด่านสำคัญในเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพราะมีเมือง ติดชายแดน อาทิ หนองคาย มุกดาหาร นครพนม เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กระจาย ไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก อาทิขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี และคาดว่าหลังจากเปิดเออีซี การท่องเที่ยว อีสาน จะเติบโตก้าวกระโดดระดับ 10% ขึ้นไป
             ประเดิมกิจกรรมแรก จับมือกับนิตยสารหนีกรุง จัดคอนเสิร์ต "หนีกรุง โก โรแมนติค อาร์ต แอนด์ เฟสติวัล" วันที่ 30 มี.ค.นี้ กระตุ้นให้ธุรกิจโรงแรมย่านเขาใหญ่มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยกว่า 90% ขณะที่ หมวดสินค้า 5 กลุ่ม ประกอบด้วย Go เพลินบุญ เน้นท่องเที่ยวเชิงศาสนา ,Go เพลินกาย เน้นกิจกรรม เชิงสร้างสรรค์สุขภาพกายและใจในวิถีท้องถิ่น, Go เพลินศิลป์ เสนอจุดเด่นสินค้าชุมชนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ,Go เพลินหรู เสนอสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่าง และ Go เพลินฮัก เน้นท่องเที่ยวโรแมนติก
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 

ชี้รถไฟเร็วสูงปลุกอสังหาฯตวจ.คึก ผู้ลงทุนมองเส้นกรุงเทพฯ-หัวหินเอื้อเศรษฐกิจมากสุด


            ผลสำรวจชี้รถไฟฟ้าความเร็งสูงหนุนคนตัดสินใจซื้อคอนโดต่างจังหวัด เชียร์ผุดเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่นำร่อง ด้านผู้ลงทุนมองเส้นกรุงเทพฯ-หัวหินเอื้อต่อเศรษฐกิจมากสุด กระตุ้นโครงการที่อยู่อาศัยขยายตัวรับนักท่องเที่ยว ขณะที่ค่ายอสังหาฯ เฮโลลงทุนในต่างจังหวัดดันราคาที่ดินพุ่ง
          นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำรวจเรื่องความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม แบบใกล้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงใน 57 พื้นที่ของ 3 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี ที่บริษัทร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดทำขึ้น พบว่า การดำเนินนโยบายเกี่ยวกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมของผู้บริโภคในสัดส่วนถึง 87.8% โดยเส้นทางที่กลุ่มตัวอย่างต้องการให้เกิดขึ้นก่อนเป็นเส้นทางแรกคือ เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ตามด้วย กรุงเทพฯ-นครราชสีมา, กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง
          ทั้งนี้ ในฐานะนักลงทุนมองว่า เส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมประเทศเพราะเส้นทางนี้จะผ่านจังหวัดท่องเที่ยวอย่าง สมุทรสงคราม (แม่กลอง) และเพชรบุรี ก่อนจะไปถึงสถานีปลายทางหัวหิน ทำให้เกิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในจังหวัดต่างๆ เหล่านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเดิมอยู่แล้ว ทำให้นักพัฒนามีความเสี่ยงไม่มาก หากลงทุนในธุรกิจโรงแรม หรือศูนย์การค้าจึงน่าจะมีศักยภาพและคุ้มค่ากว่าเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่า นักพัฒนาที่ดินส่วนใหญ่เน้นการขยายการลงทุนไปตามหัวเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่องเที่ยวกันอย่างคึกคัก โดยไม่รอการขยายตัวของรถไฟฟ้าความเร็วสูง ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่างๆ มีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะภาคอีสาน ปัจจุบันผู้ประกอบการให้ความสนใจลงทุนที่ จ.นครราชสีมา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยหลายแห่งให้ความสนใจจะนำที่ดินชานเมืองมาพัฒนาเป็น "กรีน ซิตี้" ส่วนขอนแก่นพบว่าปัจจุบันผู้ประกอบการลดความสนใจน้อยลง เพราะมีอัตราการเติบโตมาได้ 2 ปีแล้ว ส่วนอีกเมืองที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจไปลงทุนเป็นอย่างมากในขณะนี้ โดยไม่ต้องรอการขยายตัวของรถไฟฟ้าความเร็วสูงคือ อุดรธานี

          ด้านนางพรพรรณ วีระปรียากูล อาจารย์ประจำสาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง และหัวหน้าหน่วยวิจัยเฉพาะทางสถาปัตยกรรมเพื่อนวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น คือ ที่ดินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีพฤติกรรมไม่ค่อยย้ายถิ่นฐาน หากซื้อที่อยู่อาศัยมักจ่ายเป็นเงินสด จึงมั่นใจว่าอัตราการเติบโตยังมีสูง
ที่มา : คม ชัด ลึก

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

อสังหาฯอีสานไม่หวั่น"ฟองสบู่"แบงก์เข้มสินเชื่อ


           อสังหาฯอีสานไม่หวั่นฟองสบู่แตกผู้ประกอบการระบุมี "ดีมานด์จริง" มั่นใจแบงก์ชาติคุมอยู่ เข้มปล่อยสินเชื่อ ส่วนปัญหาแรงงานหนีทำงานเกษตรใกล้บ้าน เหตุได้ค่าแรงเท่ากัน ส่งผลกระทบส่งมอบคอนโด
          นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการกำกับการดำเนินงานของสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การลงทุนอย่างคึกคักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาคอีสานโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ขอนแก่น
 อุดรธานี และ นครราชสีมา ไม่น่าเป็นห่วงว่าจะการเกิดภาวะฟองสบู่ เพราะสถานการณ์เวลานี้แตกต่างจากปี 2540 ที่ภาคอสังหาฯ เติบโตกระจายไปทั่วประเทศเทียบขณะนี้ขยายตัวและเติบโตเฉพาะจุดเท่านั้น แต่ครั้งนี้มีการลงทุนหนาแน่นบางจังหวัด
          "ฟองสบู่เป็นการซื้อแบบเก็งกำไร ไม่ใช่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง แต่กรณีนี้ เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัย เพราะมีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น ในภาคอีสานเองมีการลงทุน ซื้อขาย คึกคักในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ไม่เกิดภาวะฟองสบู่แตกแน่นอน และแบงก์ชาติเองได้ดูแลตลอดเวลาหากพบมีการปล่อยกู้เพื่อลงทุนและปล่อยกู้เพื่อซื้ออสังหาฯ เกินความเป็นจริง ก็อาจต้องมีมาตรการออกมาควบคุม" นายณรงค์ชัยกล่าวและว่า
          การซื้อขายอสังหาฯ ต้องกำหนดให้สถาบันการเงินปล่อยกู้น้อยลง แต่ให้ผู้ซื้อนำ"เงินตัวเอง" ซื้อมากขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะฟองสบู่แตกอีกรอบ
          นายอภิชาติ สินธุมา ผู้จัดการภูมิภาค บริษัท ซีพีแลนด์ จำกัด กล่าวว่า หากเกิดฟองสบู่ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ธนาคารที่ปล่อยกู้  ผู้ซื้อ และกลุ่มนายทุนที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น โดยพิจารณาจากตัวบุคคลเพิ่มขึ้น เพราะผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ จะใช้ทุนส่วนตัวไม่ได้กู้จากสถาบันการเงินมากนัก หรือ กู้เพียงบางส่วน เนื่องจากแบงก์ไม่ปล่อยกู้ 100% เพราะเกรงเกิดปัญหาเอ็นพีแอลเช่นกัน นอกจากนี้ ตัวผู้ซื้อ มีความต้องการจริง  ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้น น่าจะเป็นความต้องการเทียมมากกว่าหากมีการจองในปีนี้
          สำหรับซีพีแลนด์ได้ขยายการลงทุนในหัวเมืองใหญ่ ทั้ง
ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี อุบลราชธานี และ นครราชสีมา เพราะมั่นใจในโอกาสการเติบโต ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นประชาชนในพื้นที่ มีความต้องการจริง  อาทิ กลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกเรียนในมหาวิทยาลัย จะซื้อคอนโดฯ แทนการเช่าบ้าน หรือ เช่าห้องพัก เพราะได้ประโยชน์และคุ้มค่า เก็งกำไรในอนาคตได้ด้วย
          แต่สิ่งที่น่าห่วง คือ ปัญหาค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้คนงานหางานใกล้บ้าน ไม่อยากทำงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่จะไปทำงานในภาคเกษตรมากขึ้น ทำให้ขาดแคลนแรงงานในการก่อสร้างเป็นอย่างมาก และอาจทำให้การส่งมอบคอนโดล่าช้า  จากกำหนดส่งมอบภายใน 12 เดือน ต้องเลื่อนเป็น 14-15 เดือน รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขเรื่องการใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อทำงานในประเทศได้มากขึ้น
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

สัตวแพทย์' ขอนแก่นรับมืออาเซียน


            สพ.ญ.สุณีรัตน์ เอี่ยมละมัย คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัขอนแก่น (มข.) เปิดเผยถึงนโยบายการผลิตบัณฑิตของคณะสัตวแพทยศาสตร์ เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนว่า การผลิตบัณฑิตของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มีความเข้มแข็งที่จะเข้าสู่การทำงานของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งด้านภาษาอังกฤษ ด้านการเรียนการสอน และมีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เช่น ประเทศสวีเดน เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ตลอดจนประเทศในเอเชีย เช่น มาเลเซีย จีน เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้บัณฑิตที่จบจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มข. เตรียมความพร้อมก่อนออกไปทำงาน นอกจากนี้ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มข. เป็นคณะที่เก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมี โรงพยาบาลสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ถือเป็นศูนย์กลางที่จะช่วยประเทศเพื่อนบ้านในแถบลุ่มน้ำโขงได้ด้วย ฉะนั้นการบริการ การให้ความรู้แก่ประชาชนไทย และประชาชนเพื่อนบ้านในด้านสัตวแพทย์ ได้มีการดำเนินงานมาเป็นระยะเวลาพอสมควร
          "ส่วนเรื่องภาษา นอกจากส่งเสริมภาษาอังกฤษแล้ว ยังส่งเสริมภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่น ภายใต้โครงการ "การแลกเปลี่ยนเรียนรู้" และบุคลากรอาจารย์ของเราจบการศึกษาจากต่างประเทศมากกว่าครึ่ง ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ปกครองให้ความไว้วางใจส่งลูกหลานมาเรียนที่ มข. หากมีคำแนะนำ หรืออยากให้คณะสัตวแพทยศาสตร์ มข.ปรับปรุงแก้ไข ทั้งด้านการเรียนการสอนและการบริการสุขภาพสัตว์ สามารถติดต่อได้ที่ โทร.08-1662-1170" สพ.ญ.สุณีรัตน์กล่าว
ที่มา : มติชน 

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

มข.จัดสัมมนายกระดับครูสังคมเสริมความรู้สู่ประชาคมอาเซียน


รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ประธานในพิธีเปิดโครงการ สัมมนาเชิงปฏิบัติการ "ยกระดับครูสังคมศึกษา สู่ประชาคมอาเซียน ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21" ว่า การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน โดยครูยุคใหม่ต้องปรับปรุงแนวทางการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทดังกล่าว ซึ่งการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครู ผู้สอนเกิดความรู้ความเข้าใจและเห็นความสำคัญในบทบาทของครู ตามกระบวนการเรียนรู้ใหม่ในศตวรรษที่ 21 นำไปสู่การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนทัศคติ และแนวทางการสอนของครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา
          รศ.ลัดดา ศิลาน้อย อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มข.ในฐานะที่ปรึกษา และวิทยากรโครงการ เผยว่า กลุ่มประเทศสมาชิกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ พร้อมใจกัน รวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) การพัฒนาด้านการศึกษาถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาในทุกๆ ด้าน ทุกประเทศได้ให้ความสำคัญในการปรับปรุงการศึกษาภายในประเทศของตนเอง เพื่อให้พร้อมรับกระแสการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษใหม่ บนแนวคิดสำคัญของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ให้สอดคล้องกับการพัฒนาการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อันประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับโลก ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจและการเป็น ผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี ความรู้ด้านสุขภาพ และความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ประสพผลสำเร็จ จำเป็นจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน 4 ด้าน ได้แก่ มาตรฐานและการเรียนรู้ หลักสูตรและการเรียนการสอน การพัฒนาครูและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
          สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะของสถาบันการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์การสอนวิชาสังคมศึกษา จึงจัดกิจกรรมสำหรับครูสังคมศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาการศึกษาของสังคมโลก อันจะเกิดผลดีต่อครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา ในการจัดการการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกกระบวนคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์เชิงวิพากษ์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งจะส่งผลต่อการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้เรียน และเป็นการปรับเปลี่ยนทัศคติแนวทางการสอนของครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ใหม่ในศตวรรษที่ 21 อันจะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาของสังคมไทย สู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งนี้ มีครูจากทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และผู้สนใจจากหลากหลายวิชาชีพเข้าร่วมโครงการ ณ คณะศึกษาศาสตร์ เป็นจำนวนมาก
          นางนงลักษณ์ วงษ์ศรีแก้ว ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ตัวแทนผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้กล่าวว่าโครงการฯนี้เป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ สามารถนำไปปรับใช้กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ครูทุกคนต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยจะเริ่มนำไปปรับใช้ในการเรียนในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่โรงเรียนของตนเอง
ที่มา : บ้านเมือง 

'พีทีจี'ทุ่มพันล.ผุด155ปั๊มทั่วประเทศ


 พีทีจี"ทุ่ม 1 พันล้านบาท ตั้งเป้าขยายสถานีบริการน้ำมันพีทีเพิ่มเป็น 729 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ ชูกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ยึดถนนสายรองเลี่ยงคู่แข่งรายใหญ่ เน้นลงทุนภาคอีสานเป็นหลัก
          นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) บริษัทมีแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนในการขยายสาขาของสถานีบริการน้ำมันพีที โดยตั้งงบลงทุน 1,020 ล้านบาท ในระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2557 ซึ่งการลงทุนหลักคือ การขยายสถานีบริการน้ำมันพีที 640 ล้านบาท การขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ท ประมาณ 100 ล้านบาท การ Re-Brand 60 ล้านบาท และการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ 60 ล้านบาท

          สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะเพิ่มสถานีบริการน้ำมันและปรับปรุงภาพลักษณ์ใหม่รวม 155 สถานี ในจำนวนนี้เป็นสถานีบริการน้ำมันที่เป็นของบริษัทและบริหารงานโดยบริษัท 130 แห่ง ส่วนอีก 25 แห่งเป็นของตัวแทนจำหน่าย คาดว่าในอีก 5 ปีจะมีสถานีบริการน้ำมันพีทีเพิ่มขึ้นประมาณ 100 แห่ง โดยในปี 2556 จะมีสถานีบริการน้ำมันพีทีรวม 729 แห่ง เป็นของบริษัท 527 แห่ง และของตัวแทนจำหน่าย 202 แห่ง จากในปี 2555 ที่มีสถานีบริการน้ำมันรวม 574 แห่ง เป็นสถานีบริการของบริษัท 397 แห่ง และของตัวแทนจำหน่าย 177 แห่ง

          "กลยุทธ์หลักของเราคือการขยายตัวแบบป่าล้อมเมือง ปล่อยให้ถนนสายหลักเป็นสนามแข่งขันของค่ายใหญ่ แต่พีทีจีจะแข่งขันในถนนสายรองซึ่งยังมีพื้นที่ว่างให้เจาะตลาดอีกมาก และคู่แข่งยังไม่ให้ความสนใจ แต่พีทีจีเห็นว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และสร้างรายได้อย่างมั่นคง โดยตั้งเป้าว่าจะขยายสถานีบริการให้ได้ 1 อำเภอ 1 แห่งทั่วประเทศ และเน้นขยายลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะมีความต้องการใช้น้ำมันสูงสุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น"

          นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนเพิ่มจำนวนรถบรรทุกน้ำมันเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และรองรับปริมาณการขนส่งน้ำมันที่คาดว่าจะ เพิ่มขึ้นในอนาคตจากการลงทุนขยาย สถานีบริการและการเติบโตของธุรกิจค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิง โดยในช่วง 2 ปีนี้จะซื้อรถบรรทุกน้ำมันและรถพ่วงบรรทุก น้ำมันประมาณ 80 คัน รวมทั้งการลงทุนร้านกาแฟสดในสถานีบริการพีที ภายใต้ชื่อ"กาแฟพันธุ์ไทย" โดยในปีนี้จะขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยและลงทุนร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ทในสถานีบริการน้ำมันพีทีประมาณ 20 แห่ง

          อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 พีทีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการ 41,723.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,906.97 ล้านบาท คิดเป็น 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 359.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133.57 ล้านบาท คิดเป็น 59% ซึ่งเป็นผลจากการขยายสถานีบริการ การเพิ่มจำนวนรถบรรทุกน้ำมันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ