ปตท.เตรียมแนวทางตั้งบริษัทใหม่
เพื่อลงทุนโครงการท่อส่งน้ำมันภาคอีสานและภาคเหนือ หลังการเจรจาซื้อหุ้น
เพื่อเทคโอเวอร์กิจการแทปไลน์ไม่คืบหน้า
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า สำหรับการศึกษาโครงการลงทุนท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ขณะนี้ เห็นว่าทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดควรให้ บริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย หรือ แทปไลน์ ซึ่งทำธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่ออยู่แล้วเป็นผู้ลงทุน จะช่วยลดต้นทุนและก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นอื่นๆ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ค้าน้ำมันต่างชาติ ยังไม่สนใจลงทุนโครงการนี้ เนื่องจากเห็นว่ามีผลตอบแทนการลงทุนต่ำเกินไปประมาณ 11% เท่านั้น ขณะที่ผลตอบแทนที่จะเป็นควรต้องสูงกว่า 15% ทำให้ปตท.ต้องเจรจาเพื่อซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นอื่นๆ ทั้งหมด อย่างน้อยให้ได้ ประมาณ 75% จากปัจจุบันที่บริษัทปตท.และบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นรวมกัน 40 % และหากการเจรจาซื้อหุ้นเพิ่มในแทปไลน์ไม่ประสบผลสำเร็จ ปตท.จะตั้งบริษัทใหม่เพื่อมาลงทุนและบริหารจัดการในโครงการนี้เอง
ด้าน นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. ในฐานะเป็นกรรมการในบริษัทแทปไลน์ กล่าวว่า ได้เคยมีการแสดงความจำนงในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มของปตท.ในบริษัทแทปไลน์ หลายครั้ง แต่ผู้ถือหุ้นรายอื่นยังปฏิเสธที่จะขายหุ้นในส่วนดังกล่าว และไม่สนใจที่จะเพิ่มทุน เพื่อใช้ในการลงทุน อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวมองว่า หากผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่พร้อมที่จะขยายธุรกิจก็ควรจะเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นที่มีความพร้อมเข้ามาถือหุ้นแทน
สำหรับโครงการลงทุนก่อสร้างท่อน้ำมันจากสระบุรี-พิษณุโลก-ลำปาง และท่อส่งน้ำมันจากสระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น นั้นสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้สรุปผลศึกษา พบว่าใช้เงินลงทุน1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์จะอยู่ที่ 15.08% เนื่องจากช่วยประหยัดน้ำมันในการขนส่งได้ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อปี ประหยัดค่าซ่อมรถบรรทุก 1.7 หมื่นล้านบาท ลดสูญเสียน้ำมันขนส่ง 4.82 พันล้านบาทต่อปี ลดอุบัติเหตุปีละ 294 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนทางการเงินอยู่ที่ 11.05%
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า สำหรับการศึกษาโครงการลงทุนท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ขณะนี้ เห็นว่าทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดควรให้ บริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย หรือ แทปไลน์ ซึ่งทำธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่ออยู่แล้วเป็นผู้ลงทุน จะช่วยลดต้นทุนและก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นอื่นๆ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ค้าน้ำมันต่างชาติ ยังไม่สนใจลงทุนโครงการนี้ เนื่องจากเห็นว่ามีผลตอบแทนการลงทุนต่ำเกินไปประมาณ 11% เท่านั้น ขณะที่ผลตอบแทนที่จะเป็นควรต้องสูงกว่า 15% ทำให้ปตท.ต้องเจรจาเพื่อซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นอื่นๆ ทั้งหมด อย่างน้อยให้ได้ ประมาณ 75% จากปัจจุบันที่บริษัทปตท.และบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นรวมกัน 40 % และหากการเจรจาซื้อหุ้นเพิ่มในแทปไลน์ไม่ประสบผลสำเร็จ ปตท.จะตั้งบริษัทใหม่เพื่อมาลงทุนและบริหารจัดการในโครงการนี้เอง
ด้าน นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. ในฐานะเป็นกรรมการในบริษัทแทปไลน์ กล่าวว่า ได้เคยมีการแสดงความจำนงในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มของปตท.ในบริษัทแทปไลน์ หลายครั้ง แต่ผู้ถือหุ้นรายอื่นยังปฏิเสธที่จะขายหุ้นในส่วนดังกล่าว และไม่สนใจที่จะเพิ่มทุน เพื่อใช้ในการลงทุน อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวมองว่า หากผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่พร้อมที่จะขยายธุรกิจก็ควรจะเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นที่มีความพร้อมเข้ามาถือหุ้นแทน
สำหรับโครงการลงทุนก่อสร้างท่อน้ำมันจากสระบุรี-พิษณุโลก-ลำปาง และท่อส่งน้ำมันจากสระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น นั้นสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้สรุปผลศึกษา พบว่าใช้เงินลงทุน1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์จะอยู่ที่ 15.08% เนื่องจากช่วยประหยัดน้ำมันในการขนส่งได้ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อปี ประหยัดค่าซ่อมรถบรรทุก 1.7 หมื่นล้านบาท ลดสูญเสียน้ำมันขนส่ง 4.82 พันล้านบาทต่อปี ลดอุบัติเหตุปีละ 294 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนทางการเงินอยู่ที่ 11.05%
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น