สำหรับคนที่ผ่านช่วงวัยเรียนมากับการกวดวิชา
อาจเคยได้ยินกันมาบ้าง กับสถาบันกวดวิชาอย่าง "เดอะเบรน (The Brain)" สถาบันกวดวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ที่เปิดมานานกว่า 25 ปี
และช่วงระยะเวลาดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเป็นแบรนด์หนึ่งที่ค่อนข้างนิ่ง
นอกเหนือจากการเพิ่มวิชาเรียน หรือการเพิ่มจำนวนติวเตอร์
จนมาถึงปีนี้ เดอะเบรนตัดสินใจ รีแบรนดิ้ง เปลี่ยนจากชื่อ "เดอะเบรน" ที่ใช้มากว่า 25 ปี เป็น "วี บาย เดอะเบรน" (WE By The Brain) ปรับโฉมใหม่ ทั้งโลโก้ รูปแบบการเรียน ตลอดจนอาคารสถานที่
"มนตรี นิรมิตศิริพงศ์" ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชา วี บาย เดอะเบรน บอกว่า การรีแบรนดิ้งครั้งนี้ เพื่อสร้าง ตัวตนใหม่ให้มีความชัดเจน จึงเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ และนำมาใช้กับชื่อวิชาที่สอน เช่น WE Math, WE Physics โดยการ เปลี่ยนชื่อเป็น WE นำมาจากการรวม ตัวกันเป็นกลุ่มบุคคล คือทีมติวเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งทางวิชาการบวกกับเด็กและผู้ปกครอง
"เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์เดิม ยังคงเก็บความเป็นเหตุเป็นผล (logic) ไว้ และเสริมเสน่ห์ (magic) เข้าไป ทำให้เกิดการรวมตัวที่สมบูรณ์ ตอบสนอง ความต้องการที่แท้จริงให้กับนักเรียน เพราะก่อนหน้านี้เราได้สอบถามไปยังเด็กว่าต้องการให้เราทำอะไรบ้าง ก็พบว่าเด็กบางส่วนอยากให้เราเสริมบางอย่างให้มากกว่าเดิม"
การปรับโฉมครั้งนี้เริ่มตั้งแต่อาคาร สถานที่ในส่วนของล็อบบี้ มีโต๊ะติวหนังสือ หรือทำการบ้านให้กับนักเรียน ขณะเดียวกัน ยังมีโซฟาพักผ่อน และมุมหนังสือให้ ผู้ปกครองพักผ่อนระหว่างรอเด็กเลิกเรียน
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการปรับรูปแบบการเรียน จากเดิมที่มีการเรียน 3 แบบ คือสอนสด เรียนผ่านดีวีดี และการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ หรือบีสมาร์ท (Be Smart) ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าการเรียนแบบบีสมาร์ทนั้นได้รับการตอบรับอย่างมาก โดยในช่วง 2 ปีมานี้มีนักเรียนเลือกเรียนในระบบ ดังกล่าวประมาณ 2 แสนคน จนกระทั่ง เดอะเบรนมีการเพิ่มจำนวนของคอมพิวเตอร์รวมในทุกสาขาถึง 5 พันเครื่อง
"ส่วนหนึ่งของการปรับโฉมหรือ รีแบรนดิ้งครั้งนี้ เราปรับเพิ่มในส่วนของการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแบ่ง รูปแบบการเรียนออกเป็น 3 แบบ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเด็กตามความต้องการ"
แบบแรกคือ WE CAN 1 เป็นการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด นักเรียน 1 คน ต่อ 1 ห้องเรียน ทำให้มีสมาธิเรียนมากขึ้น เพราะปราศจากเสียงรบกวนจากภายนอก
หรือหากต้องการเรียนร่วมกับเพื่อน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่ WE CAN 2 จะตอบโจทย์นี้ โดยรองรับลักษณะการเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย
ซึ่งการเรียน 2 รูปแบบนี้ สถาบันจะมีอาหารว่างและขนมเตรียมไว้คอยบริการ นักเรียนสามารถทานได้ฟรี ตามความต้องการ
ขณะที่ WE CAN 3 แม้จะเป็นการเรียนพร้อมกันกับคนหมู่มาก แต่ก็ยังมีฉากกั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย แม้จะเป็นการเรียนพร้อมกันจำนวนมาก แต่นักเรียนจะสามารถเรียนพร้อมกันได้โดยไม่ติดขัด เนื่องจากมีการพัฒนาระบบ C loud ที่มีความเสถียรเข้ามาใช้
"เราเห็นปัญหาว่าแต่ละโรงเรียนมีเวลาเรียนในหัวข้อที่ไม่ตรงกัน ซึ่งการเรียนลักษณะนี้จะทำให้เด็กสามารถเลือกบทเรียนตามความต้องการได้ ทั้งยังสามารถหยุดจดเพื่อทบทวน ย้อนกลับไปดูใหม่อีกครั้งเมื่อไม่เข้าใจ หรือหากต้องการหยุดเพื่อพักผ่อนระหว่างเรียน ก็สามารถทำได้"
ทั้งนี้การปรับโฉมจะเป็นการทยอยปรับไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มต้นที่สาขาพญาไท งามวงศ์วาน และบางกะปิ จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงมีแผนขยายไปยังจังหวัดหัวเมือง เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก หาดใหญ่ โดยจะไม่ขึ้นค่าเรียนของ WE CAN 3 ซึ่งอยู่ที่ชั่วโมงละ 80 บาท
ส่วนค่าเรียนของการเรียนรูปแบบอื่น จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนจริง อย่าง WE CAN 2 จะเพิ่มค่าเรียนเป็นชั่วโมงละ 200 บาท
"ขณะนี้ WE CAN 1 มี 11 ที่นั่ง WE CAN 2 มี 48 ที่นั่ง และกว่า 90% เป็น WE CAN 3 แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ต้องการกำไรจากตรงนี้ แต่เราทำเพราะเด็กมีความต้องการที่ต่างกัน และถึงแม้ความสบายในการเรียนจะไม่เหมือนกัน แต่ทุกรูปแบบจะมีเนื้อหาในบทเรียนแบบเดียวกันทั้งหมด เรียกได้ว่าประสิทธิภาพในการเรียนและประสิทธิผลที่ได้รับเท่ากัน แต่แตกต่างในบางองค์ประกอบเท่านั้น"
นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด หรือยกเลิกเวลาเรียน ตลอดจนเช็กปฏิทินการเรียนผ่านทางเฟซบุ๊ก หรือ แอปพลิเคชั่น WE App ผ่านทางสมาร์ทโฟน ทั้งไอโฟน ไอแพด แอนดรอยด์ และวินโดวส์โฟน ทำให้เกิดความยืดหยุ่น เลือกวันและเวลาเรียนได้ตามไลฟ์สไตล์ รวมถึงนักเรียนจะได้รับ WE Card เป็นเหมือนบัตรประจำตัว ผู้เรียน สามารถใช้บัตรนี้แสดงตนในการเรียนได้ทุกสาขาทั่วประเทศ
สำหรับงบประมาณการปรับโฉมให้เป็น วี บาย เดอะเบรน จะแตกต่างกันตามขนาดของสาขา โดยสาขาพญาไท ลงทุนไปประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนสาขา อื่น งบฯลงทุนจะลดหลั่นลงไป อย่างสาขางามวงศ์วานและบางกะปิ จะอยู่ที่สาขาละ 7-8 ล้านบาท
นอกจากนี้ในปีหน้ามีแผนขยายสาขาเพิ่ม 3 แห่ง และปีต่อ ๆ ไปจะขยายเพิ่มปีละ 3-4 สาขา คาดว่าภายในปี 2558 จะมีทั้งหมด 40 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 29 สาขา โดยแต่ละปีมีเด็กสมัครเรียนกับเราประมาณ 1.5 แสนคน และ ตั้งแต่เรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ก็พบว่า สถาบันเติบโตขึ้นมาก
จึงน่าจับตาต่อว่า ทิศทางของเดอะ เบรนที่เลือกปรับโฉมตัวเองครั้งนี้ จะเดินมาถูกทางและตอบโจทย์ความต้องการและความคุ้มค่าของผู้เรียนผู้ปกครองได้หรือไม่
จนมาถึงปีนี้ เดอะเบรนตัดสินใจ รีแบรนดิ้ง เปลี่ยนจากชื่อ "เดอะเบรน" ที่ใช้มากว่า 25 ปี เป็น "วี บาย เดอะเบรน" (WE By The Brain) ปรับโฉมใหม่ ทั้งโลโก้ รูปแบบการเรียน ตลอดจนอาคารสถานที่
"มนตรี นิรมิตศิริพงศ์" ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชา วี บาย เดอะเบรน บอกว่า การรีแบรนดิ้งครั้งนี้ เพื่อสร้าง ตัวตนใหม่ให้มีความชัดเจน จึงเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ และนำมาใช้กับชื่อวิชาที่สอน เช่น WE Math, WE Physics โดยการ เปลี่ยนชื่อเป็น WE นำมาจากการรวม ตัวกันเป็นกลุ่มบุคคล คือทีมติวเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งทางวิชาการบวกกับเด็กและผู้ปกครอง
"เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์เดิม ยังคงเก็บความเป็นเหตุเป็นผล (logic) ไว้ และเสริมเสน่ห์ (magic) เข้าไป ทำให้เกิดการรวมตัวที่สมบูรณ์ ตอบสนอง ความต้องการที่แท้จริงให้กับนักเรียน เพราะก่อนหน้านี้เราได้สอบถามไปยังเด็กว่าต้องการให้เราทำอะไรบ้าง ก็พบว่าเด็กบางส่วนอยากให้เราเสริมบางอย่างให้มากกว่าเดิม"
การปรับโฉมครั้งนี้เริ่มตั้งแต่อาคาร สถานที่ในส่วนของล็อบบี้ มีโต๊ะติวหนังสือ หรือทำการบ้านให้กับนักเรียน ขณะเดียวกัน ยังมีโซฟาพักผ่อน และมุมหนังสือให้ ผู้ปกครองพักผ่อนระหว่างรอเด็กเลิกเรียน
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการปรับรูปแบบการเรียน จากเดิมที่มีการเรียน 3 แบบ คือสอนสด เรียนผ่านดีวีดี และการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ หรือบีสมาร์ท (Be Smart) ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าการเรียนแบบบีสมาร์ทนั้นได้รับการตอบรับอย่างมาก โดยในช่วง 2 ปีมานี้มีนักเรียนเลือกเรียนในระบบ ดังกล่าวประมาณ 2 แสนคน จนกระทั่ง เดอะเบรนมีการเพิ่มจำนวนของคอมพิวเตอร์รวมในทุกสาขาถึง 5 พันเครื่อง
"ส่วนหนึ่งของการปรับโฉมหรือ รีแบรนดิ้งครั้งนี้ เราปรับเพิ่มในส่วนของการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแบ่ง รูปแบบการเรียนออกเป็น 3 แบบ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเด็กตามความต้องการ"
แบบแรกคือ WE CAN 1 เป็นการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด นักเรียน 1 คน ต่อ 1 ห้องเรียน ทำให้มีสมาธิเรียนมากขึ้น เพราะปราศจากเสียงรบกวนจากภายนอก
หรือหากต้องการเรียนร่วมกับเพื่อน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่ WE CAN 2 จะตอบโจทย์นี้ โดยรองรับลักษณะการเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย
ซึ่งการเรียน 2 รูปแบบนี้ สถาบันจะมีอาหารว่างและขนมเตรียมไว้คอยบริการ นักเรียนสามารถทานได้ฟรี ตามความต้องการ
ขณะที่ WE CAN 3 แม้จะเป็นการเรียนพร้อมกันกับคนหมู่มาก แต่ก็ยังมีฉากกั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย แม้จะเป็นการเรียนพร้อมกันจำนวนมาก แต่นักเรียนจะสามารถเรียนพร้อมกันได้โดยไม่ติดขัด เนื่องจากมีการพัฒนาระบบ C loud ที่มีความเสถียรเข้ามาใช้
"เราเห็นปัญหาว่าแต่ละโรงเรียนมีเวลาเรียนในหัวข้อที่ไม่ตรงกัน ซึ่งการเรียนลักษณะนี้จะทำให้เด็กสามารถเลือกบทเรียนตามความต้องการได้ ทั้งยังสามารถหยุดจดเพื่อทบทวน ย้อนกลับไปดูใหม่อีกครั้งเมื่อไม่เข้าใจ หรือหากต้องการหยุดเพื่อพักผ่อนระหว่างเรียน ก็สามารถทำได้"
ทั้งนี้การปรับโฉมจะเป็นการทยอยปรับไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มต้นที่สาขาพญาไท งามวงศ์วาน และบางกะปิ จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงมีแผนขยายไปยังจังหวัดหัวเมือง เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก หาดใหญ่ โดยจะไม่ขึ้นค่าเรียนของ WE CAN 3 ซึ่งอยู่ที่ชั่วโมงละ 80 บาท
ส่วนค่าเรียนของการเรียนรูปแบบอื่น จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนจริง อย่าง WE CAN 2 จะเพิ่มค่าเรียนเป็นชั่วโมงละ 200 บาท
"ขณะนี้ WE CAN 1 มี 11 ที่นั่ง WE CAN 2 มี 48 ที่นั่ง และกว่า 90% เป็น WE CAN 3 แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ต้องการกำไรจากตรงนี้ แต่เราทำเพราะเด็กมีความต้องการที่ต่างกัน และถึงแม้ความสบายในการเรียนจะไม่เหมือนกัน แต่ทุกรูปแบบจะมีเนื้อหาในบทเรียนแบบเดียวกันทั้งหมด เรียกได้ว่าประสิทธิภาพในการเรียนและประสิทธิผลที่ได้รับเท่ากัน แต่แตกต่างในบางองค์ประกอบเท่านั้น"
นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด หรือยกเลิกเวลาเรียน ตลอดจนเช็กปฏิทินการเรียนผ่านทางเฟซบุ๊ก หรือ แอปพลิเคชั่น WE App ผ่านทางสมาร์ทโฟน ทั้งไอโฟน ไอแพด แอนดรอยด์ และวินโดวส์โฟน ทำให้เกิดความยืดหยุ่น เลือกวันและเวลาเรียนได้ตามไลฟ์สไตล์ รวมถึงนักเรียนจะได้รับ WE Card เป็นเหมือนบัตรประจำตัว ผู้เรียน สามารถใช้บัตรนี้แสดงตนในการเรียนได้ทุกสาขาทั่วประเทศ
สำหรับงบประมาณการปรับโฉมให้เป็น วี บาย เดอะเบรน จะแตกต่างกันตามขนาดของสาขา โดยสาขาพญาไท ลงทุนไปประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนสาขา อื่น งบฯลงทุนจะลดหลั่นลงไป อย่างสาขางามวงศ์วานและบางกะปิ จะอยู่ที่สาขาละ 7-8 ล้านบาท
นอกจากนี้ในปีหน้ามีแผนขยายสาขาเพิ่ม 3 แห่ง และปีต่อ ๆ ไปจะขยายเพิ่มปีละ 3-4 สาขา คาดว่าภายในปี 2558 จะมีทั้งหมด 40 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 29 สาขา โดยแต่ละปีมีเด็กสมัครเรียนกับเราประมาณ 1.5 แสนคน และ ตั้งแต่เรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ก็พบว่า สถาบันเติบโตขึ้นมาก
จึงน่าจับตาต่อว่า ทิศทางของเดอะ เบรนที่เลือกปรับโฉมตัวเองครั้งนี้ จะเดินมาถูกทางและตอบโจทย์ความต้องการและความคุ้มค่าของผู้เรียนผู้ปกครองได้หรือไม่
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น