วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บีโอไอขอนแก่นนำทีมบุกเมียนมาร์เจาะข้อมูลและโอกาสทำธุรกิจ


 บีโอไอนำทีมนักธุรกิจ-นักลงทุนไทยเยือนเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาในเมียนมาร์ หาลู่ทางใช้เป็นฐานผลิตกระจายสินค้า
          นางสาวรัตนวิมล นารีศุกรีเขตร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอขอนแก่น) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 25 -29 พฤศจิกายน 2556 บีโอไอขอนแก่นร่วมกับสำนักพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน จัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายและเพิ่มศักยภาพการค้าการลงทุนให้แก่นักลงทุน นักธุรกิจ และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ณ ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าและการลงทุนในต่างประเทศ
          กิจกรรมครั้งนี้จะพานักลงทุนไทยเข้าไปยังรัฐฉานเพื่อสำรวจสภาพเศรษฐ กิจ-การค้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผลิตผลทางการเกษตรพร้อมเป็นวัตถุดิบสำหรับการแปรรูป และหารือกับบริษัท Man dalay Shweyi Co., Ltd. (Food and Beverage) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างกัน ส่วนกิจกรรมสำคัญอีกประการคือ การนำชมความคืบหน้าโครงการท่าเรือและเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา ซึ่งเป็นแหล่งรองรับการลงทุนใหม่ของเมียนมาร์ เพื่อให้นักลงทุนไทยได้เห็นลู่ทางและโอกาสที่จะใช้เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้เป็นแหล่งลงทุนและท่าเรือในการกระจายสินค้า
          "สภาพเศรษฐกิจที่เติบโตของเมียนมาร์ ทำให้นักลงทุนหลายประเทศให้ความสำคัญ บีโอไอจึงกำหนดให้เป็นประเทศเป้าหมายเพื่อขยายการลงทุนและสร้างเครือข่ายทางการค้า กิจกรรมครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเมียนมาร์มีความต้องการและกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสินค้าจากไทยที่กำลังติดตลาดได้รับการสนับสนุนที่ดี ขณะที่ติลาวาก็เป็นแหล่งทุนใหม่ที่จะมีศักยภาพ หากเข้าไปช้านักลงทุนไทยก็จะเสียโอกาส" นางสาวรัตนวิมล กล่าว
          ข้อมูลจาก "ศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศ"(Thailand Overseas Investment Center หรือ TOI Center) พบว่ามีนักธุรกิจไทยที่สนใจและแจ้งถึงการตัดสินใจเข้าไปลงทุนในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ เมียนมาร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และเวียดนามแล้วรวมจำนวน 86 บริษัทจากกิจกรรมสร้างเครือข่ายการลงทุนที่บีโอไอจัดขึ้น และการออกไปเปิดตลาดใหม่ของนักลงทุนเอง
          สำหรับสถิติของผู้ประกอบการไทยที่ไปลงทุนในเมียนมาร์ ตั้งแต่ปี 2550-2555 พบว่าผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนเป็นอันดับ 1 มูลค่าการลงทุน 5,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันดับ 2 สิงคโปร์ มูลค่าการลงทุน 3,708 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอันดับ 3 ฮ่องกง มูลค่าการลงทุน 2,639 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอุตสาหกรรมที่เข้าไปลงทุนส่วนใหญ่คือ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ การขุดเจาะปิโตรเลียม ประมง อาหารทะเล และค้าส่ง ค้าปลีก
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น