วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

เซ็นจูรี่ 21ฯ ฟุ้งปี 55 โตก้าวกระโดดเล็งขยายสาขาเพิ่ม 50 สาขาในปี 56


เซ็นจูรี่ 21ฯ แจงผลการดำเนินงานในปี 55 ยอดขายทะลุ 19,000 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีผลประกอบการรวมเพิ่มขึ้น18% พร้อมตั้งเป้าเปิดแฟรนไชส์ครบ 50 สาขาภายในปีนี้คาดการณ์อสังหาฯปี 56 รุ่ง รับตลาดซื้อ-ขาย-เช่าบ้านมือสอง
                นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าผลการดำเนินงาน ในปีที่ผ่านมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี55 ส่งผลให้ผลประกอบการรวมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยมียอดขายรวม 19,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้16,500 ล้านบาท กว่า 3,000 ล้านบาท เมื่อเทียบเป็นอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ 118% หรือโตกว่าเป้าที่วางไว้ถึง18% โดยรายได้หลักจะมาจากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 13,200 ล้านบาท จากเป้าเดิม 7,500 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 76% และการบริหารจัดการโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์อีก 6,800 ล้านบาทซึ่งรวมเป็นตัวเลขผลประกอบการในปี 2555 เป็นยอดรวมทั้งสิ้น 19,000 ล้านบาท
          สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นในการเพิ่มจำนวนทีมขายที่แข็งแกร่ง และการเปิดสาขาแฟรนไชส์ (Franchise) ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีถึง 50 สาขาภายในปี 2556 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯเป็นแบรนด์แรกในเมืองไทยที่มีสาขาแฟรนไชส์มากที่สุด และจะส่งผลให้สามารถบริหารจัดการโครงการได้หลากหลายช่องทางตลอดจนสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านทางแฟรนไชส์ที่กระจายอยู่ทั้งในเขตกรุงเทพและต่างจังหวัด ทั้งนี้ตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2556 บริษัทฯ จะมียอดขายรวม 18,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น ส่วนของการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 13,000 ล้านบาทและการบริหารจัดการโครงการ 6,000 ล้านบาท
          นายกิติศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯปีนี้คาดว่าจะมีการขยายตัวมากขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐโดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จะกระจายไปยังหัวเมืองต่างๆ และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนและกระตุ้นให้การพัฒนาด้านอสังหาฯในปี 2556 ไปจนถึงอีก 5 ปีข้างหน้าให้มีสีสันมากขึ้น
          ทั้งนี้ในส่วนของผู้ประกอบการอสังหาฯ คาดว่าในปีนี้จะมีการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ ไปตามหัวเมืองใหญ่ และแหล่งชุมชน เช่น เชียงใหม่ อุดร 
ขอนแก่นโคราช ชลบุรี ศรีราชา สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ โดยประเภทของโครงการส่วนใหญ่จะเน้นพัฒนาโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมมากกว่าโครงการแนวราบ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาที่ดินในจังหวัดดังกล่าวจะมีการปรับตัวสูงขึ้นอีก 10-15%
          ส่วนด้านการซื้อขายที่ดินในเขตกรุงเทพและปริมณฑลคาดว่าการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเขต CBD และตามแนวรถไฟฟ้าจะมีให้เห็นน้อยลง เนื่องจากราคาที่ดินปรับตัวขึ้นถึง 20-30% เพราะมีจำนวนจำกัด
          ดังนั้นในปีนี้จะเห็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามเขตที่เป็นทำเลรองในกรุงเทพมากขึ้น
ที่มา : ASTVผู้จัดการรายวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น