นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า
จากการเดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ครั้งที่ 34 และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน
ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF Plus Three) ครั้งที่ 12
ระหว่างวันที่ 27-28 กันยายน 2555 ที่กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยสาระสำคัญจากผลการประชุม AMAF จะเน้นไปที่การติดตามความก้าวหน้าในการอำนวยความสะดวกในการค้าด้านอาหาร
การเกษตร และป่าไม้
โดยเฉพาะการบูรณาการให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาค และเร่งรัดดำเนินการเตรียมความพร้อมของประเทศสมาชิก ในการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินงานด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ตามแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน และเห็นชอบมาตรฐานอาเซียน และเอกสารต่างๆ เพื่อสนับสนุนการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการมีท่าทีร่วมกันด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้
สำหรับผลจากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ กับรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF+3) ครั้งที่ 12 นั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน+3 (APTERR) โดยไทยจะดำเนินการทำความตกลงการเป็นประเทศเจ้าภาพ เพื่อรับรองสถานะและการดำเนินงานของสำนักเลขานุการ APTERR ตามกฎหมายไทยต่อไป
สำหรับการจัดตั้งสำนักเลขานุการ APTERR ในประเทศไทยนี้ จะเกิดประโยชน์อย่างมาก โดยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางบริหารจัดการสต๊อกข้าวและควบคุมการซื้อขาย รวมถึงการระบายสต๊อกข้าวของภูมิภาคของ APTERR ที่ 13 ประเทศ ต้องสำรองไว้รวม 787,000 ตัน ได้แก่ จีน 300,000 ตัน ญี่ปุ่น 250,000 ตัน เกาหลี 150,000 ตัน ไทย 15,000 ตัน เวียดนามและพม่าประเทศละ 14,000 ตัน ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย 12,000 ตัน มาเลเซีย 6,000 ตัน สิงคโปร์ 5,000 ตัน บรูไน กัมพูชา และ สปป.ลาว ประเทศละ 3,000 ตัน ซึ่งทำให้ช่วยลดความผันผวนด้านการผลิตและราคาข้าวในภูมิภาค ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือภูมิภาคเมื่อเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินขึ้น ขณะนี้การดำเนินงานของ APTERR มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยความตกลงนี้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555
โดยเฉพาะการบูรณาการให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาค และเร่งรัดดำเนินการเตรียมความพร้อมของประเทศสมาชิก ในการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินงานด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ตามแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน และเห็นชอบมาตรฐานอาเซียน และเอกสารต่างๆ เพื่อสนับสนุนการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการมีท่าทีร่วมกันด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้
สำหรับผลจากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ กับรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF+3) ครั้งที่ 12 นั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน+3 (APTERR) โดยไทยจะดำเนินการทำความตกลงการเป็นประเทศเจ้าภาพ เพื่อรับรองสถานะและการดำเนินงานของสำนักเลขานุการ APTERR ตามกฎหมายไทยต่อไป
สำหรับการจัดตั้งสำนักเลขานุการ APTERR ในประเทศไทยนี้ จะเกิดประโยชน์อย่างมาก โดยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางบริหารจัดการสต๊อกข้าวและควบคุมการซื้อขาย รวมถึงการระบายสต๊อกข้าวของภูมิภาคของ APTERR ที่ 13 ประเทศ ต้องสำรองไว้รวม 787,000 ตัน ได้แก่ จีน 300,000 ตัน ญี่ปุ่น 250,000 ตัน เกาหลี 150,000 ตัน ไทย 15,000 ตัน เวียดนามและพม่าประเทศละ 14,000 ตัน ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย 12,000 ตัน มาเลเซีย 6,000 ตัน สิงคโปร์ 5,000 ตัน บรูไน กัมพูชา และ สปป.ลาว ประเทศละ 3,000 ตัน ซึ่งทำให้ช่วยลดความผันผวนด้านการผลิตและราคาข้าวในภูมิภาค ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือภูมิภาคเมื่อเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินขึ้น ขณะนี้การดำเนินงานของ APTERR มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยความตกลงนี้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555
ที่มา
:
แนวหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น