วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เตือนภัยธุรกิจเท้าไฟรุกเออีซี ชี้ 3 ปีเอกชนหอบเงินลงทุนแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท


                   เผยธุรกิจไทยขนเงินลงทุนต่างประเทศช่วง 3 ปีกว่า 400 โครงการ มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท เจาะลึก พม่า-เวียดนาม-อินโดนีเซีย น่าลงทุนมากที่สุด กสิกรเตือนนักลงทุนไทยอย่าใจร้อนตามแห่ ควรรอความชัดเจนเปิดเสรีเออีซี เพื่อทำความเข้าใจกฎหมายตลาด
                  นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศรวมกว่า 400 โครงการ มูลค่ารวม กว่า 1.5 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่ไปลงทุนใน ประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย) โดยอุตสาหกรรมหลักที่ไปลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี
                 ทั้งนี้ ธนาคารได้เข้าไปศึกษาการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 แล้ว พบว่า ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ภาคเอกชนไทยควรเข้าไปลงทุน ประกอบด้วย ประเทศพม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยตั้งแต่ต้นปีภาคเอกชนไทยได้ตั้งวงเงินที่จะออกไปลงทุนในเออีซี 45,000-50,000 ล้านบาท และในช่วง 7 เดือนแรกได้เข้าไปลงทุนแล้ว 27,000 ล้านบาท
                อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จึงแนะนำ ให้ผู้ประกอบการไม่ควรรีบตัดสินใจเข้าไปลงทุน ควรรอให้เปิดเสรีไประยะหนึ่งก่อนเพื่อทำความเข้าใจตลาด ก่อนจะลงทุนกับประเทศนั้นๆ การรีบตัดสินใจออกไปลงทุนในต่างประเทศแบบเร่งด่วน อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งไม่เหมือนกับกลุ่มซีพี กลุ่ม ปตท. และกลุ่มเอสซีจี ที่ไปลงทุนแบบครบวงจร และลงทุนขนาดใหญ่ ทำให้รัฐบาลประเทศนั้นๆเกิดความเกรงใจ จึงมีความเสี่ยงน้อยในการเข้าไปลงทุน
                 นายวศินกล่าวอีกว่า ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 55 นี้ ธนาคารมองว่า ยังคงมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด อาทิ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการสนับสนุนประเทศในโซนยุโรป ซึ่งทำให้ยูโรโซนอาจสั่นคลอนได้อีกครั้ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นไปอย่างเชื่องช้า และมีแนวโน้มเปราะบางมากขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า โดยสิ้นปีคาดว่าค่าเงินบาทของไทยจะอยู่ที่ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปิดความผันผวนของค่าเงิน ผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้าส่งออกควรปิดความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงส่วนต่างของกำไรที่อาจลดลง
                นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ทางสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท ธนาคารกสิกรไทย ได้มีแผนรองรับและเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์อยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้ตั้งเป้าสินเชื่อคงค้างสิ้นปีเติบโตที่ประมาณ 8% หรือใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และตั้งเป้าเติบโตค่าธรรมเนียมประมาณ 10-12% โดยธนาคารจะมุ่งเน้นกลยุทธ์การบุกตลาดต่างจังหวัด (Urbanization) ที่เป็นหัวเมืองหลัก เช่น นครราชสีมา อุดรธานีขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญในการเชื่อมต่อการค้าการลงทุนของการค้าชายแดนและประชาคมอาเซียน
                  สำหรับผลประกอบการของสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทในครึ่งปีแรก มียอดสินเชื่อคงค้างที่ 368,000 ล้านบาท โดยสามารถสร้างการเติบโตที่รายได้จากค่าธรรมเนียมและรายได้ดอกเบี้ยที่ไม่ได้มาจากสินเชื่อประมาณ 18% แสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายการเพิ่มยอดรายได้ค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง.
ที่มา : ไทยรัฐ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น