วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ธุรกิจบ้านจัดสรรบูมสุดขีด อานิสงส์ยางพาราทำคนอีสานรวยอู้ฟู่


ธุรกิจบ้านจัดสรร-รับสร้างบ้านในอีสานบุมสุดๆ เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 20% โคราชมาแรงเปิดตัว 100 โครงการรับอานิสงส์ยาพารา ทั้งเจ้าของสวน-คนกรีดยางอู้ฟู่ "พีดีเฮ้าส์" สบช่องเปิดตัว"เอคิวโฮม" เจาะตลาดบ้าน 2.5 ล้านบาท หวังกินรวบตลาดรับสร้างบ้าน
          นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษ้ท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหาร สิทธิ์แฟรนไชส์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ และเอคิวโฮม เปิดเผยว่า โครงการบ้านจัดสรร และธุรกิจรับสร้างบ้านในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัด
นครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี ในแต่ละปีมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 20% "ขณะนี้โครงการบ้านจัดสรรในโคราชบูมมา มีโครงการบ้านจัดสรรผุดขึ้นเป็น 100 โครงการยอดขายดีมาก ทำให้ธุรกิจร้บสร้างบ้านดีขึ้นไปด้วยบ้านที่สร้างใหม่ส่วนใหญ่เลือกราคาล้าบบาทขี้นไป"
          สำหรับสาเหตุที่ความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่มขึ้นมากในช่วงนี้ เกิดจากภาคนตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากรมาก และที่สำคัญมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเศรษฐกิจมาเป็นยาพารา ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่คนที่มาลงทุนปลูกยางพาราในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่เป็นคนจากจังหวัดภาคใต้ที่ย้ายถิ่นฐานมาปลูกยางพาราและได้ว่าจ้างคนในพื้นที่รับจ้างกรีดยาง โดยมีการแบ่งสัดส่วนรายได้ระหว่างกัน ทำให้ทั้งเจ้าของสวนยางและผู้กรีดยางต่างมีรายได้เพิ่มขึ้น
          อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการรองรับธุรกิจรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดที่มีอัตราการขยายตัวสูงมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริษัทจึงเปิดตัวศูนย์รับสร้างบ้านเอคิวโฮม หรือ "เอคิวโฮม" ที่จังหวัด
นครราชสีมา พื่อจับกลุ่มลูกค้าสร้างบ้านราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นช่องว่างที่บริษัทพีดีเฮ้าส์ ทำตลาดบ้านระดับ 3 ล้านบาทขึ้นไป
          นอกจากนี้ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วง 2 ปี พบว่ากำลังซื้อ หรือสร้างบ้านระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มีความตัองการหรือมีขนาดใหญ่ที่สุดแต่ที่ผ่านมาผู้ประกอบการเลือกที่จะไม่ทำตลาดสร้างบ้านกลุ่มราคานี้เพราะว่าต้องเจอกับคู่แข่งขันสำคัญคือ ผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป ที่เน้นแข่งขันตัดราคาและมีอยู่จำนวนมาก โดยผู้บริโภคเองงก็เน้นราคามากกว่า คุณภาพ ส่วนบ้านราคาสูงกว่า 2.5 ล้านบาท มีบริษัทบ้าจัดสรรไปรับก่อสร้างอยู่แล้ว
          "การที่บริษัทเลือกจะเข้ามาแข่งขันในตลาดสร้างบ้านกลุ่มนี้จึงนับเป็นเรื่องท้าทายอย่างมากแต่ก็มั่นใจว่า จะสามารถชิงแชร์ (ส่วนแบ่งตลาด) และผลักดันให้ตลาดรับสร้างบ้านกลุ่มนี้เติบโตได้ทั่วประเทศภายใน 3 ปี ข้างหน้า เพราะแม้ปัจจุบันคนในภาคอีสานจะสร้างบ้านแบบหาผู้รับเหมารายย่อยเอง แต่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้อีกทั้งยังอาจถูกผู้รับเหมาโกง ก่อสร้างบ้านเข้าไปทำตลาดในต่างจังหวัด จะทำให้ลูกค้าได้บ้านที่มีคุณภาพมากขึ้นและยังมีบริการหลังการขายให้อีกเช่นการประกันภัย ส่วนคู่แข่งที่เป็นบริษัทใหญ่ๆดัวยกัน ขณะนี้ยังมีน้อยมาก"
          นายสิทธิพรกล่าวอีกว่า ปริมาณและมูลค่ายอดขายบ้านในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.)ในปีนี้ของกลุ่มบริษัทในเครือพีดีเฮ้าส์เติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดขายรวมได้ 700 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท แม้ ว่าเปรียบเทียบแล้วยอดขายยังต่ำกว่าเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ก็ตาม นั่นเป็นเพราะในช่วงไตรมาสแรกตลาดรวมรับสร้างบ้านยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่แล้ว และเริมมาฟื้นตัวในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
          อย่างไรก็ตามธุรกิจรับสร้างบ้านจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้ มีทั้งโอกาสเติบโตและชะลอตัวพอๆกันดังนั้นแผนการตลาดเพื่อปรับตัวตามสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ในกรณีที่กำลังซื้อหรือตลาดรับสร้างบ้านยสังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง บริษัทจะเร่งขยายสาขาให้ครบ 35 สาขา ในปีนี้ โดยมีแผนจะเปิดสาขาใหม่ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้เช่น เชียงราย ราชบุรี 
นครราชสีมา ละนครศรีธรรมราช เป็นตัน เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่บริกรสร้างบ้านทั่วประเทศมากที่สุด
ที่มา : ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น