นายพลิศร์ ภิรมย์ภักดี
กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
ผู้ผลิตเครื่องดื่มตราสิงห์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนใหญ่ 16,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์สิงห์ แห่งใหม่
แบ่งเป็นลงทุน 6,000 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่
บางเลน จ.นครปฐม เป็นโรงงานแห่งที่ 3 เพิ่มจาก 280 ล้านลิตรต่อปีเป็น 1,000 ล้านลิตร จะแล้วเสร็จในปี 56
ส่วนอีก 10,000 ล้านบาท ใช้สร้างโรงงานแห่งที่
4 อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเลือกสร้างโรงงานในจังหวัดใด
เพราะได้ซื้อที่ดินใน จ.ราชบุรี และใน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แล้ว แห่งละ 500
ไร่ เริ่มลงทุนในปี 57
สำหรับการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่มีโอกาสขยายตลาดเครื่องดื่มไปในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น จากเดิมสนใจลงทุนสร้างโรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน แต่มั่นใจว่า การลงทุนในประเทศไทยเหมาะสมมากที่สุด สามารถเพิ่มการผลิต รวมทั้งขนส่งสินค้าไปต่างประเทศได้สะดวกขึ้น ทั้งในประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ส่วนโรงงานแห่งที่ 4 ที่กำลังเลือก จ.ราชบุรี และ จ.ปราจีนบุรี นั้น จะพิจารณาจากแหล่งน้ำในพื้นที่ และความสะดวก รวมถึงทำเลที่ตั้ง คาดว่า เมื่อลงทุนในปี 57 แล้ว ภายใน 18 เดือนข้างหน้าจะก่อสร้างได้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ จ.ปทุมธานี ขอนแก่น และนครปฐม ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มเบียร์สิงห์ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 69% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 65% คาดว่า ในสิ้นปีนี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดได้ 69-70% เป็นผู้นำในตลาดได้ต่อไป
นายสันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด นอนแอลกอฮอล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารและทำตลาดผลิตภัณฑ์ เบียร์ โซดา น้ำดื่ม ภายใต้เครื่องหมายการค้า สิงห์ ลีโอ กล่าวว่า จะเดินหน้าการเป็นผู้ทำธุรกิจเครื่องดื่มนอน แอลกอฮอล์ และอาหารอย่างครบวงจรมากขึ้น โดยปีนี้ได้ใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้งบ 100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตสาหร่าย มาชิตะ พื้นที่ 10 ไร่ จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.ปี 56 เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท เค เจซี อินเตอร์ ฟูด จำกัด มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว รองรับยอดขายที่เติบโตดี และลงทุนอีก 300 ล้านบาท ซื้อโรงงานขนมขึ้นรูป
พร้อมกันนี้ได้เปิดช่องทางการขายใหม่ผ่านเว็บไซต์ www.singhaonlineshop.com โดยเป็นช่องขายสินค้านอนแอลกอฮอล์ในเครือทั้ง น้ำดื่มสิงห์ โซดาสิงห์ น้ำแร่ เพอร์ร่า เครื่องดื่มบีอิ้ง ข้าวพันดี และสาหร่ายมาชิตะ ซึ่งจัดส่งฟรีให้แก่ลูกค้าใน กทม.และปริมณฑล เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาท หลังจากนั้นในปี 56 จะขยายไปทั่วประเทศ เนื่องจากกลุ่มคนในปัจจุบันใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น เฉลี่ย 24 ล้านคน และใช้โทรศัพท์มากถึง 68 ล้านเครื่อง ประกอบกับตลาดซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์มีมูลค่าสูงถึง 75,000 ล้านบาท เชื่อมั่นในอนาคต จะเป็นช่องทางที่สร้างยอดขายได้ในสัดส่วน 5-10% ของยอดขายบริษัท จากปัจจุบัน ช่องทางขายสินค้ามาจาก ร้านค้าโชห่วย 85% และห้างค้าปลีก 15% ส่วนภาพรวมยอดขายกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนส่วนภาพรวมยอดขายกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 8,000 ล้านบาท
"ส่วนกรณีที่ บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง ได้ยื่นข้อเสนอมาให้บริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้า น้ำอัดลมเป๊ปซี่ ให้นั้น การเจรจาดังกล่าว ยุติลงในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถตกลงรายละเอียดธุรกิจร่วมกันได้"
สำหรับการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่มีโอกาสขยายตลาดเครื่องดื่มไปในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น จากเดิมสนใจลงทุนสร้างโรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน แต่มั่นใจว่า การลงทุนในประเทศไทยเหมาะสมมากที่สุด สามารถเพิ่มการผลิต รวมทั้งขนส่งสินค้าไปต่างประเทศได้สะดวกขึ้น ทั้งในประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ส่วนโรงงานแห่งที่ 4 ที่กำลังเลือก จ.ราชบุรี และ จ.ปราจีนบุรี นั้น จะพิจารณาจากแหล่งน้ำในพื้นที่ และความสะดวก รวมถึงทำเลที่ตั้ง คาดว่า เมื่อลงทุนในปี 57 แล้ว ภายใน 18 เดือนข้างหน้าจะก่อสร้างได้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ จ.ปทุมธานี ขอนแก่น และนครปฐม ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มเบียร์สิงห์ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 69% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 65% คาดว่า ในสิ้นปีนี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดได้ 69-70% เป็นผู้นำในตลาดได้ต่อไป
นายสันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด นอนแอลกอฮอล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารและทำตลาดผลิตภัณฑ์ เบียร์ โซดา น้ำดื่ม ภายใต้เครื่องหมายการค้า สิงห์ ลีโอ กล่าวว่า จะเดินหน้าการเป็นผู้ทำธุรกิจเครื่องดื่มนอน แอลกอฮอล์ และอาหารอย่างครบวงจรมากขึ้น โดยปีนี้ได้ใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้งบ 100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตสาหร่าย มาชิตะ พื้นที่ 10 ไร่ จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.ปี 56 เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท เค เจซี อินเตอร์ ฟูด จำกัด มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว รองรับยอดขายที่เติบโตดี และลงทุนอีก 300 ล้านบาท ซื้อโรงงานขนมขึ้นรูป
พร้อมกันนี้ได้เปิดช่องทางการขายใหม่ผ่านเว็บไซต์ www.singhaonlineshop.com โดยเป็นช่องขายสินค้านอนแอลกอฮอล์ในเครือทั้ง น้ำดื่มสิงห์ โซดาสิงห์ น้ำแร่ เพอร์ร่า เครื่องดื่มบีอิ้ง ข้าวพันดี และสาหร่ายมาชิตะ ซึ่งจัดส่งฟรีให้แก่ลูกค้าใน กทม.และปริมณฑล เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาท หลังจากนั้นในปี 56 จะขยายไปทั่วประเทศ เนื่องจากกลุ่มคนในปัจจุบันใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น เฉลี่ย 24 ล้านคน และใช้โทรศัพท์มากถึง 68 ล้านเครื่อง ประกอบกับตลาดซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์มีมูลค่าสูงถึง 75,000 ล้านบาท เชื่อมั่นในอนาคต จะเป็นช่องทางที่สร้างยอดขายได้ในสัดส่วน 5-10% ของยอดขายบริษัท จากปัจจุบัน ช่องทางขายสินค้ามาจาก ร้านค้าโชห่วย 85% และห้างค้าปลีก 15% ส่วนภาพรวมยอดขายกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนส่วนภาพรวมยอดขายกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 8,000 ล้านบาท
"ส่วนกรณีที่ บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง ได้ยื่นข้อเสนอมาให้บริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้า น้ำอัดลมเป๊ปซี่ ให้นั้น การเจรจาดังกล่าว ยุติลงในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถตกลงรายละเอียดธุรกิจร่วมกันได้"
ที่มา : เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น