หากพูดถึงการศึกษาของประเทศในเอเชีย "สิงคโปร์"
ติดกลุ่มประเทศผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย
ตัวอย่างเห็นได้จากการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA พบว่า ทักษะด้านการอ่าน คณิตศาสตร์
และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนสิงคโปร์มีคะแนนติดระดับ Top 10 มาโดยตลอด
ความสำเร็จดังกล่าวยืนยันให้เห็นถึงระบบการศึกษาของสิงคโปร์ว่ามีความเข้มแข็งและโดดเด่นอย่างมาก
ในประเทศไทย มีโรงเรียนที่ทำการเรียนการสอนหลักสูตรสิงคโปร์ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ปกครองที่ต้องการสร้างพื้นฐานให้กับลูกหลานก้าวไปสู่วิชาชีพอย่างแพทย์ วิศวกร และดูเหมือนว่าความนิยมนี้จะเพิ่มสูงขึ้น ในชื่อ "โรงเรียนนานาชาติแองโกล สิงคโปร์" ที่เพิ่งเปิดแคมปัสแห่งที่ 2 บริเวณสุขุมวิท 64 บนพื้นที่กว่า 8 ไร่
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์ "จูลี่ ซูทันโต้" ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติ แองโกล สิงคโปร์ ถึงรูปแบบการเรียนการสอนแบบสิงคโปร์ รวมถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แคมปัสแห่งที่ 2 เป็นอย่างไร
แคมปัสแรกของเราอยู่ที่สุขุมวิท 31 มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ตอนนี้ไม่เพียงพอต่อนักเรียนที่มีแนวโน้มเข้ามาเรียนมากขึ้น โดยเราเปิดสอนตั้งแต่ระดับเนิร์ส เซอรี่จนถึงเกรด 12 เราจึงต้องการพื้นที่ในการสร้างอาคารเรียน สระว่ายน้ำ โรงยิม และพื้นที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม จึงขยายมาเปิดแคมปัสใหม่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นงบฯส่วนของห้องแล็บกว่า 5 ล้านบาท มีทั้งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ทีวีที่ใช้สอนตอบโต้กับนักเรียน หรือไมโครสโคปลิงก์กับห้องแล็บที่บางมหาวิทยาลัยไม่มี แต่โรงเรียนเรามี และนักเรียนทุกคนมีของส่วนตัวใช้
แล้วบรรยากาศการเรียนการสอนล่ะ
โรงเรียนสามารถรองรับนักเรียนได้ถึง 1,200 คน แต่เราจะรับไม่เกิน 800 คน ไม่ใช่ว่าใครทุกคนก็สามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ดังนั้น มาตรฐานการเรียนการสอนของเราค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเทอม แคมปัสทั้งสองแห่งตอนนี้มีนักเรียนอยู่ประมาณ 500 คน อาจารย์ประมาณ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติตามวิชาที่สอน ที่จำนวนอาจารย์มากขนาดนี้เพราะระดับชั้นอนุบาลต้องมีอาจารย์อย่างน้อยห้องละ 2 คน เพื่อดูแลเด็กอย่างทั่วถึง โดยนักเรียนเรามี 25 สัญชาติ และ 65% เป็นเด็กเอเชีย เช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย
"นักเรียนของเราต้องเรียนรู้อย่างน้อย 3 ภาษา มีภาษาไทยและอังกฤษเป็นตัวหลัก อีกภาษาจะบังคับให้เลือกเรียนมีทั้งภาษาเกาหลี, จีน, สเปน, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, บาฮาซา โดยจะเปิดคลาสสอนภาษาสเปนและเยอรมันหลังเลิกเรียนสำหรับนักเรียนที่สนใจ หรือหากสนใจนอกเหนือจาก 2 ภาษาข้างต้นนักเรียนยัง รวมกลุ่มกันเลือกเรียนภาษาที่ต้องการเพื่อเป็นภาษาที่ 4 ได้"
ทำไมต้องลงทุนห้องแล็บมากขนาดนั้น
เพราะเรามีความเข้มแข็งด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เด็กที่เรียนกับเรามุ่งมั่นจะเป็นวิศวกร แพทย์ ขณะที่ผู้ปกครองของพวกเขาส่วนใหญ่ก็มีอาชีพเหล่านี้เช่นกัน นอกจากนี้ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายังมองว่าหลักสูตรสิงคโปร์มีความโดดเด่นทางด้านนี้อย่างมาก และเห็นว่าควรนำหลักสูตรนี้เข้าไปใช้ในการเรียนการสอนของสหรัฐอเมริกา เพราะคะแนนสอบด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนอเมริกาสูงไม่เท่ากับคนจีนและสิงคโปร์
หลักสูตรเข้มแข็ง แล้วอาจารย์เป็น อย่างไร
อาจารย์ 80% ที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เป็นคนสิงคโปร์ ขณะที่อาจารย์วิชาอื่น ๆ ต้องมีความเชี่ยวชาญในวิชานั้น ๆ ซึ่งอาจารย์ทุกคนต้องผ่านการอบรมจากกระทรวงศึกษาฯของสิงคโปร์ก่อน เพื่อให้ได้วิธีการสอนแบบสิงคโปร์อย่างแท้จริง ทำให้การสอนของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น
นอกจากนี้ การสอนแบบสิงคโปร์จะต่างจากอเมริกัน เพราะเราเน้นตรรกะ ทำให้เด็กเข้าใจและจดจำมากกว่าการสอนให้จำเพียงอย่างเดียว
กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง
แม้โรงเรียนอื่นจะบอกว่าเขาสอน หลักสูตรสิงคโปร์ มีอาจารย์มาจากสิงคโปร์ ใช้หนังสือเรียนของสิงคโปร์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าใจ หลักสูตรสิงคโปร์ พวกเขาไม่ได้เข้าถึง หลักสูตรสิงคโปร์ที่มีแนวการเรียน การสอนเฉพาะ อย่างอาจารย์ต้องมีการอบรมก่อน หรือข้อสอบก็ออกโดยอาจารย์ที่เป็นบอร์ดของโรงเรียนในสิงคโปร์ ดังนั้น ข้อสอบของเราจะได้มาตรฐาน ตามโรงเรียนสิงคโปร์
"ยอดนักเรียนเพิ่มขึ้น คิดว่าเกิดจากการบอกต่อปากต่อปาก ซึ่งมีพลังมากกว่าการทำการตลาด เพราะการบอกต่อเกิดจากผู้ปกครองมีความเชื่อมั่น และมั่นใจในหลักสูตรของเรา"
แผนธุรกิจในอนาคต
เรามีโครงการเฟส 3 สร้างอาคารเรียน 5 ชั้น แต่ต้องรอให้เฟส 2 ที่กำลังก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ทั้งนี้ มีผู้ปกครองหลายคนต้องการให้เราไปเปิดแคมปัส ต่างจังหวัดด้วย เราจึงมีแผนขยายแคมปัส ไปตามภูมิภาคละ 1 แห่ง อาจเป็น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ขณะเดียวกัน เราจะไปเปิดสอนอีกแคมปัสบริเวณ เยาวราชที่จะสอนระดับอนุบาล
"เราวางเป้าหมายให้แองโกล สิงคโปร์เป็นอีลิตสกูล คนมาเรียนเพราะต้องการความแตกต่างจากคนอื่น เราต้องทำให้เด็กอยากมาเข้าที่นี่เอง ไม่ใช่เพราะ เป็นความต้องการของผู้ปกครอง เพราะเด็กจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไรเพื่อ ความสำเร็จของตัวเอง ซึ่งจะเกิดขึ้น จากการถูกกระตุ้นมาตั้งแต่เด็ก และเราจะทำทุกอย่างให้มีคุณภาพ เหมือนสิงคโปร์ที่เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ อย่าง เราต้องการเป็นแบบนั้นเช่นกัน"
ในประเทศไทย มีโรงเรียนที่ทำการเรียนการสอนหลักสูตรสิงคโปร์ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ปกครองที่ต้องการสร้างพื้นฐานให้กับลูกหลานก้าวไปสู่วิชาชีพอย่างแพทย์ วิศวกร และดูเหมือนว่าความนิยมนี้จะเพิ่มสูงขึ้น ในชื่อ "โรงเรียนนานาชาติแองโกล สิงคโปร์" ที่เพิ่งเปิดแคมปัสแห่งที่ 2 บริเวณสุขุมวิท 64 บนพื้นที่กว่า 8 ไร่
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์ "จูลี่ ซูทันโต้" ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติ แองโกล สิงคโปร์ ถึงรูปแบบการเรียนการสอนแบบสิงคโปร์ รวมถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แคมปัสแห่งที่ 2 เป็นอย่างไร
แคมปัสแรกของเราอยู่ที่สุขุมวิท 31 มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ตอนนี้ไม่เพียงพอต่อนักเรียนที่มีแนวโน้มเข้ามาเรียนมากขึ้น โดยเราเปิดสอนตั้งแต่ระดับเนิร์ส เซอรี่จนถึงเกรด 12 เราจึงต้องการพื้นที่ในการสร้างอาคารเรียน สระว่ายน้ำ โรงยิม และพื้นที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม จึงขยายมาเปิดแคมปัสใหม่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นงบฯส่วนของห้องแล็บกว่า 5 ล้านบาท มีทั้งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ทีวีที่ใช้สอนตอบโต้กับนักเรียน หรือไมโครสโคปลิงก์กับห้องแล็บที่บางมหาวิทยาลัยไม่มี แต่โรงเรียนเรามี และนักเรียนทุกคนมีของส่วนตัวใช้
แล้วบรรยากาศการเรียนการสอนล่ะ
โรงเรียนสามารถรองรับนักเรียนได้ถึง 1,200 คน แต่เราจะรับไม่เกิน 800 คน ไม่ใช่ว่าใครทุกคนก็สามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ดังนั้น มาตรฐานการเรียนการสอนของเราค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเทอม แคมปัสทั้งสองแห่งตอนนี้มีนักเรียนอยู่ประมาณ 500 คน อาจารย์ประมาณ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติตามวิชาที่สอน ที่จำนวนอาจารย์มากขนาดนี้เพราะระดับชั้นอนุบาลต้องมีอาจารย์อย่างน้อยห้องละ 2 คน เพื่อดูแลเด็กอย่างทั่วถึง โดยนักเรียนเรามี 25 สัญชาติ และ 65% เป็นเด็กเอเชีย เช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย
"นักเรียนของเราต้องเรียนรู้อย่างน้อย 3 ภาษา มีภาษาไทยและอังกฤษเป็นตัวหลัก อีกภาษาจะบังคับให้เลือกเรียนมีทั้งภาษาเกาหลี, จีน, สเปน, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, บาฮาซา โดยจะเปิดคลาสสอนภาษาสเปนและเยอรมันหลังเลิกเรียนสำหรับนักเรียนที่สนใจ หรือหากสนใจนอกเหนือจาก 2 ภาษาข้างต้นนักเรียนยัง รวมกลุ่มกันเลือกเรียนภาษาที่ต้องการเพื่อเป็นภาษาที่ 4 ได้"
ทำไมต้องลงทุนห้องแล็บมากขนาดนั้น
เพราะเรามีความเข้มแข็งด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เด็กที่เรียนกับเรามุ่งมั่นจะเป็นวิศวกร แพทย์ ขณะที่ผู้ปกครองของพวกเขาส่วนใหญ่ก็มีอาชีพเหล่านี้เช่นกัน นอกจากนี้ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายังมองว่าหลักสูตรสิงคโปร์มีความโดดเด่นทางด้านนี้อย่างมาก และเห็นว่าควรนำหลักสูตรนี้เข้าไปใช้ในการเรียนการสอนของสหรัฐอเมริกา เพราะคะแนนสอบด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนอเมริกาสูงไม่เท่ากับคนจีนและสิงคโปร์
หลักสูตรเข้มแข็ง แล้วอาจารย์เป็น อย่างไร
อาจารย์ 80% ที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เป็นคนสิงคโปร์ ขณะที่อาจารย์วิชาอื่น ๆ ต้องมีความเชี่ยวชาญในวิชานั้น ๆ ซึ่งอาจารย์ทุกคนต้องผ่านการอบรมจากกระทรวงศึกษาฯของสิงคโปร์ก่อน เพื่อให้ได้วิธีการสอนแบบสิงคโปร์อย่างแท้จริง ทำให้การสอนของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น
นอกจากนี้ การสอนแบบสิงคโปร์จะต่างจากอเมริกัน เพราะเราเน้นตรรกะ ทำให้เด็กเข้าใจและจดจำมากกว่าการสอนให้จำเพียงอย่างเดียว
กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง
แม้โรงเรียนอื่นจะบอกว่าเขาสอน หลักสูตรสิงคโปร์ มีอาจารย์มาจากสิงคโปร์ ใช้หนังสือเรียนของสิงคโปร์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าใจ หลักสูตรสิงคโปร์ พวกเขาไม่ได้เข้าถึง หลักสูตรสิงคโปร์ที่มีแนวการเรียน การสอนเฉพาะ อย่างอาจารย์ต้องมีการอบรมก่อน หรือข้อสอบก็ออกโดยอาจารย์ที่เป็นบอร์ดของโรงเรียนในสิงคโปร์ ดังนั้น ข้อสอบของเราจะได้มาตรฐาน ตามโรงเรียนสิงคโปร์
"ยอดนักเรียนเพิ่มขึ้น คิดว่าเกิดจากการบอกต่อปากต่อปาก ซึ่งมีพลังมากกว่าการทำการตลาด เพราะการบอกต่อเกิดจากผู้ปกครองมีความเชื่อมั่น และมั่นใจในหลักสูตรของเรา"
แผนธุรกิจในอนาคต
เรามีโครงการเฟส 3 สร้างอาคารเรียน 5 ชั้น แต่ต้องรอให้เฟส 2 ที่กำลังก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ทั้งนี้ มีผู้ปกครองหลายคนต้องการให้เราไปเปิดแคมปัส ต่างจังหวัดด้วย เราจึงมีแผนขยายแคมปัส ไปตามภูมิภาคละ 1 แห่ง อาจเป็น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ขณะเดียวกัน เราจะไปเปิดสอนอีกแคมปัสบริเวณ เยาวราชที่จะสอนระดับอนุบาล
"เราวางเป้าหมายให้แองโกล สิงคโปร์เป็นอีลิตสกูล คนมาเรียนเพราะต้องการความแตกต่างจากคนอื่น เราต้องทำให้เด็กอยากมาเข้าที่นี่เอง ไม่ใช่เพราะ เป็นความต้องการของผู้ปกครอง เพราะเด็กจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไรเพื่อ ความสำเร็จของตัวเอง ซึ่งจะเกิดขึ้น จากการถูกกระตุ้นมาตั้งแต่เด็ก และเราจะทำทุกอย่างให้มีคุณภาพ เหมือนสิงคโปร์ที่เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ อย่าง เราต้องการเป็นแบบนั้นเช่นกัน"
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น