บีเอ็นไอ( BNI - Business Network
International) กลุ่มเครือขายผู้ประกอบการที่สร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์การแนะนำแบบบอกต่อมุ่งหน้าสู่มูลค่าทางธุรกิจทั่วโลกกว่า
100,000 ล้านบาทเตรียมขยายกลุ่มธุรกิจสู่ 4 ภาคของไทยรับมือเออีซี
ดร. ไอวาน อาร์ ไมส์เนอร์ ผู้ก่อตั้ง และประธาน บีเอ็นไอ กล่าวว่า บีเอ็นไอก่อตั้งมาเป็นเวลา28 ปี ปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการถึง 140,000รายใน 50 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าไว้ที่ 200,000 รายภายในปี 2558 สำหรับปีนี้ตั้งเป้ามูลค่าธุรกิจทั่วโลกไว้ที่ 1แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ 9 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้พบว่าธุรกิจใหญ่ๆ เริ่มย้ายฐานมาอยู่ในเอเชียมากขึ้นเพราะธุรกิจในกลุ่มประเทศยุโรปกำลังซบเซาโดยเฉลี่ยแล้วการส่งออกขององค์กรเหล่านี้ทำเงินถึง 60% ของยอดขายทั้งหมด คาดว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าเอเชียจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีขนาดตลาดธุรกิจใหญ่ที่สุดของบีเอ็นไอโดยมีอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดธุรกิจใหญ่เป็นอันดับ 2รองจากประเทศอเมริกา
ด้านกลุ่มเป้าหมายในอนาคตของบีเอ็นไอนั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีคุ้นเคยกับการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ตัวอักษรแต่ไม่รู้จักการพูดต่อหน้า(face to face) ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและน่าเชื่อถือมากกว่า คนในรุ่นเทคโนโลยีล้ำหน้านี้จึงเป็นกลุ่มที่ต้องการความรู้เรื่องการทำตลาดแบบบอกต่อเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในที่สุดสำหรับบีเอ็นไอประเทศไทยเน้นการช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงกลาง(SMEs)เนื่องจากผู้ประกอบการเหล่านี้มีงบฯทำการตลาดไม่มากจึงไม่สามารถโฆษณาสินค้าและบริการของตนได้ถี่และครอบคลุมได้เท่ากับธุรกิจขนาดใหญ่โดยบีเอ็นไอประเทศไทยมีแผนเพิ่มจำนวนกลุ่มผู้ประกอบการให้ถึง 1,200รายทั่วประเทศภายในปี 2558 จากปัจจุบัน 400 รายพร้อมกับการพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจไปด้วยกันคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากปัจจุบัน720 ล้านบาท ไปสู่ 1,200ล้านบาทในปี 2555นอกจากนี้ยังมีแผนจะขยายการสร้างกลุ่มสมาชิกออกไปยังหัวเมืองใหญ่ทั้งสี่ภาคของประเทศคือภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ในพัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่เป็นต้น
ด้านนายกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ ประธานอำนวยการบริษัท บีเอ็นไอ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า ปัจจุบันกลุ่มสมาชิกบีเอ็นไอประเทศไทย ได้มีการติดต่อและทำงานกับผู้ประกอบการในประเทศ สมาชิกเออีซีอยู่แล้วเรามี BNI Connect Global ระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงนักธุรกิจไทยกับนักธุรกิจทั่วโลกสามารถแนะนำตัวติดต่อประสานงานกันได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังคอยเน้นเรื่องสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างสมาชิกอยู่เสมอเพราะเปรียบเหมือนเกราะป้องกันคู่แข่งจากเออีซีไม่ให้เจาะเราได้ง่ายๆกล่าวได้ว่า เราพร้อมสำหรับเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้า
ดร. ไอวาน อาร์ ไมส์เนอร์ ผู้ก่อตั้ง และประธาน บีเอ็นไอ กล่าวว่า บีเอ็นไอก่อตั้งมาเป็นเวลา28 ปี ปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการถึง 140,000รายใน 50 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าไว้ที่ 200,000 รายภายในปี 2558 สำหรับปีนี้ตั้งเป้ามูลค่าธุรกิจทั่วโลกไว้ที่ 1แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ 9 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้พบว่าธุรกิจใหญ่ๆ เริ่มย้ายฐานมาอยู่ในเอเชียมากขึ้นเพราะธุรกิจในกลุ่มประเทศยุโรปกำลังซบเซาโดยเฉลี่ยแล้วการส่งออกขององค์กรเหล่านี้ทำเงินถึง 60% ของยอดขายทั้งหมด คาดว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าเอเชียจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีขนาดตลาดธุรกิจใหญ่ที่สุดของบีเอ็นไอโดยมีอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดธุรกิจใหญ่เป็นอันดับ 2รองจากประเทศอเมริกา
ด้านกลุ่มเป้าหมายในอนาคตของบีเอ็นไอนั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีคุ้นเคยกับการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ตัวอักษรแต่ไม่รู้จักการพูดต่อหน้า(face to face) ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและน่าเชื่อถือมากกว่า คนในรุ่นเทคโนโลยีล้ำหน้านี้จึงเป็นกลุ่มที่ต้องการความรู้เรื่องการทำตลาดแบบบอกต่อเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในที่สุดสำหรับบีเอ็นไอประเทศไทยเน้นการช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงกลาง(SMEs)เนื่องจากผู้ประกอบการเหล่านี้มีงบฯทำการตลาดไม่มากจึงไม่สามารถโฆษณาสินค้าและบริการของตนได้ถี่และครอบคลุมได้เท่ากับธุรกิจขนาดใหญ่โดยบีเอ็นไอประเทศไทยมีแผนเพิ่มจำนวนกลุ่มผู้ประกอบการให้ถึง 1,200รายทั่วประเทศภายในปี 2558 จากปัจจุบัน 400 รายพร้อมกับการพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจไปด้วยกันคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากปัจจุบัน720 ล้านบาท ไปสู่ 1,200ล้านบาทในปี 2555นอกจากนี้ยังมีแผนจะขยายการสร้างกลุ่มสมาชิกออกไปยังหัวเมืองใหญ่ทั้งสี่ภาคของประเทศคือภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ในพัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่เป็นต้น
ด้านนายกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ ประธานอำนวยการบริษัท บีเอ็นไอ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า ปัจจุบันกลุ่มสมาชิกบีเอ็นไอประเทศไทย ได้มีการติดต่อและทำงานกับผู้ประกอบการในประเทศ สมาชิกเออีซีอยู่แล้วเรามี BNI Connect Global ระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงนักธุรกิจไทยกับนักธุรกิจทั่วโลกสามารถแนะนำตัวติดต่อประสานงานกันได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังคอยเน้นเรื่องสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างสมาชิกอยู่เสมอเพราะเปรียบเหมือนเกราะป้องกันคู่แข่งจากเออีซีไม่ให้เจาะเราได้ง่ายๆกล่าวได้ว่า เราพร้อมสำหรับเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้า
ที่มา : พิมพ์ไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น