พาณิชย์แจงเงินเฟ้อส.ค.เพิ่มแค่
2.69%
หลังราคาอาหารทรงตัว ยันทั้งปีเงินเฟ้อ 3.4% ส่วนดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคขึ้น5
เดือน
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) หรือตัวสะท้อนสินค้าแพงเดือน ส.ค. 2555 เท่ากับ 116.28 สูงขึ้น 2.69% เทียบกับเดือน ส.ค.2554 และสูงขึ้น 0.4% เทียบกับเดือน ก.ค. 2555 ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) สูงขึ้น2.89% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในอัตราชะลอตัวลง เป็นผลมาจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น4.02% สินค้าราคาสูงขึ้นเช่น ผักและผลไม้ 17.23% เครื่องประกอบอาหาร 4.1% อาหารสำเร็จรูป 3.02% ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง เช่น เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้ำ ลด 3.36% ไข่และผลิตภัณฑ์นม 0.83% เป็นต้น ขณะที่หมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1.84% สินค้าที่มีราคาสูงขึ้นเช่น น้ำมันเชื้อเพลิง 4.14% หมวดเคหสถาน (ค่าเช่าบ้าน) 2.7%
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายการสินค้าพบว่าสินค้าเดือน ส.ค. ที่มีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนได้แก่ ข้าวสารหอมมะลิ (5 กก.) เพิ่ม3.99% จากราคา 198 บาท/ถุง เพิ่มเป็น 210 บาท/ถุง ผักสดเพิ่ม 5.62%อาหารสำเร็จรูป 3.86% โดยข้าวราดแกง 2 อย่าง มี จ.เชียงราย เพิ่มแห่งเดียวที่ปรับเพิ่มขึ้นจานละ 5 บาทจาก 30 บาท เป็น 35 บาท ที่เหลือจังหวัดอื่นๆเช่น เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช ภูเก็ต สงขลา ขอนแก่น ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ ราคาทรงตัวอยู่ที่จานละ 25-30 บาทเครื่องประกอบอาหารเพิ่ม4.1%สินค้าราคาแพงขึ้น เช่น ซอสหอยนางรม จากขวดละ 38.22 บาท เพิ่มเป็น 38.45 บาท ซีอิ๊วขาว 39.74 บาท เป็น 39.76 บาท แต่มีสินค้าราคาลง เช่น ไข่ไก่ ลด 11.2% เนื้อหมูลด 16.65%
ขณะที่หมวดของใช้ส่วนบุคคลราคาเพิ่ม 0.88% เช่น กระดาษชำระ แชมพู ผ้าอนามัย ค่าไฟฟ้าเพิ่ม 14.02% ค่าน้ำประปา 7.47%น้ำมันเชื้อเพลิง 4.14%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อไตรมาส 3 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3%มากกว่าเงินเฟ้อไตรมาส 2 ที่ขยายตัว2.51% เล็กน้อย ส่วนไตรมาส 4 เงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 3% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำประมาณ 3.3-3.4% เท่านั้น จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.3-3.8%
นายยรรยง กล่าวว่า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่กระทรวงทำการสำรวจ 3,241 กลุ่มตัวอย่างพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมเดือน ส.ค. อยู่ที่ 29.5 เพิ่มจากเดือนก.ค. 29.1 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง5 เดือน เป็นผลมาจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) หรือตัวสะท้อนสินค้าแพงเดือน ส.ค. 2555 เท่ากับ 116.28 สูงขึ้น 2.69% เทียบกับเดือน ส.ค.2554 และสูงขึ้น 0.4% เทียบกับเดือน ก.ค. 2555 ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) สูงขึ้น2.89% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในอัตราชะลอตัวลง เป็นผลมาจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น4.02% สินค้าราคาสูงขึ้นเช่น ผักและผลไม้ 17.23% เครื่องประกอบอาหาร 4.1% อาหารสำเร็จรูป 3.02% ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง เช่น เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้ำ ลด 3.36% ไข่และผลิตภัณฑ์นม 0.83% เป็นต้น ขณะที่หมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1.84% สินค้าที่มีราคาสูงขึ้นเช่น น้ำมันเชื้อเพลิง 4.14% หมวดเคหสถาน (ค่าเช่าบ้าน) 2.7%
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายการสินค้าพบว่าสินค้าเดือน ส.ค. ที่มีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนได้แก่ ข้าวสารหอมมะลิ (5 กก.) เพิ่ม3.99% จากราคา 198 บาท/ถุง เพิ่มเป็น 210 บาท/ถุง ผักสดเพิ่ม 5.62%อาหารสำเร็จรูป 3.86% โดยข้าวราดแกง 2 อย่าง มี จ.เชียงราย เพิ่มแห่งเดียวที่ปรับเพิ่มขึ้นจานละ 5 บาทจาก 30 บาท เป็น 35 บาท ที่เหลือจังหวัดอื่นๆเช่น เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช ภูเก็ต สงขลา ขอนแก่น ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ ราคาทรงตัวอยู่ที่จานละ 25-30 บาทเครื่องประกอบอาหารเพิ่ม4.1%สินค้าราคาแพงขึ้น เช่น ซอสหอยนางรม จากขวดละ 38.22 บาท เพิ่มเป็น 38.45 บาท ซีอิ๊วขาว 39.74 บาท เป็น 39.76 บาท แต่มีสินค้าราคาลง เช่น ไข่ไก่ ลด 11.2% เนื้อหมูลด 16.65%
ขณะที่หมวดของใช้ส่วนบุคคลราคาเพิ่ม 0.88% เช่น กระดาษชำระ แชมพู ผ้าอนามัย ค่าไฟฟ้าเพิ่ม 14.02% ค่าน้ำประปา 7.47%น้ำมันเชื้อเพลิง 4.14%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อไตรมาส 3 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3%มากกว่าเงินเฟ้อไตรมาส 2 ที่ขยายตัว2.51% เล็กน้อย ส่วนไตรมาส 4 เงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 3% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำประมาณ 3.3-3.4% เท่านั้น จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.3-3.8%
นายยรรยง กล่าวว่า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่กระทรวงทำการสำรวจ 3,241 กลุ่มตัวอย่างพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมเดือน ส.ค. อยู่ที่ 29.5 เพิ่มจากเดือนก.ค. 29.1 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง5 เดือน เป็นผลมาจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล
ที่มา : โพสต์ทูเดย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น