วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

มองส่งออกไทยปีนี้โตแค่ 3% นำเข้าจีนหด-CLMV โตแทน


ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี  หรือ  TMB  Analytics  ประเมินว่า  การส่งออกของไทยปี  2555  อาจขยายตัวเพียง  3.0%  จากภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลักชะลอตัวและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ  เหลือเพียงส่งออกไปกลุ่มประเทศ  CLMV  หรือกัมพูชา  ลาว  พม่า  และเวียดนามที่ยังโตต่อเนื่องสวนทางตลาดอื่นๆ
          ทั้งนี้  เมื่อวันที่  10  กันยายน  2555  ทางการจีนได้รายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของจีนในเดือนสิงหาคมแสดงถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบวิกฤตยุโรปและการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ  สร้างความผิดหวังให้กับนักวิเคราะห์  โดยส่งออกขยายตัวได้เพียง  2.7%  ในขณะที่การนำเข้าหดตัวอย่างน่าเป็นห่วงที่  2.7%  และสินค้านำเข้าจากอาเซียนและไทยกลับหดตัวมากขึ้นที่  9.4%  และ  10.4%  ตามลำดับ  บ่งชี้ว่าตัวเลขการส่งออกจากไทยไปจีนนั้น  น่าจะหดตัวต่อเนื่องในเดือนสิงหาคม  ทำให้การส่งออกไทยโดยรวมมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงไปอีกระยะหนึ่ง
          ถึงแม้ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมจะยังไม่เปิดเผยจนกระทั่งปลายเดือนนี้  แต่ตัวเลขการส่งออกไทยในเดือนกรกฎาคมลดลงถึง  8.9  พันล้านบาทหรือลดลง  1.4%  สาเหตุมาจากตลาดส่งออกหลักอย่าง  สหภาพยุโรปหดตัว  19.2%  จีน  -4.5%  อาเซียนเดิม  (สิงคโปร์  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  และบรูไน)  -9.1%  ทำให้การส่งออกไปกลุ่มอาเซียนหดตัวครั้งแรกในรอบกว่า  3  ปี  แสดงให้เห็นว่า  พิษวิกฤตยุโรปส่งผลต่อเศรษฐกิจคู่ค้าของไทยในภูมิภาคมากขึ้น  นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจไทย  เช่น  ยางพาราที่ราคาลดลงต่อเนื่อง  ที่แม้ภาครัฐเข้าแทรกแซงกว่า  1.5  หมื่นล้านบาท  ก็ยังเอาไม่อยู่  และมีแนวโน้มลดลงต่อไปอีก
          ในทางตรงข้าม  การส่งออกไป  กัมพูชา  ลาว  พม่า  เวียดนาม  (CLMV)  กลับยังมีทิศทางสดใส  ในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าส่งออกถึง  48,862  ล้านบาท  ขยายตัวร้อนแรงถึง  28.4%  โดยช่วง  7  เดือนแรกปีนี้  มีมูลค่าส่งออก  314,614  ล้านบาท  ขยายตัว  18.6%  สวนทางกับการส่งออกไปตลาดหลักอื่นๆ  ทำให้การส่งออกไป  CLMV  อาจเป็นกลุ่มตลาดเดียวที่ขยายตัวได้ในปีนี้
          ทั้งนี้  ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี  ยังพบอีกว่าการส่งออกของ  SME  ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน  โดยครึ่งปีแรก  SME  มีมูลค่าส่งออก  627,286  ล้านบาท  ลดลงกว่า  16,254  ล้านบาท  หรือ  2.5%  นำโดยตลาดยุโรปที่ลดลงถึง  10.9%  ญี่ปุ่นที่  -8.7%  สหรัฐที่  -2.2%  ขณะที่ตลาดอาเซียนเดิมขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง  0.5%  เท่านั้น  ส่วนการส่งออกไป  CLMV  มีมูลค่า  58,947  ล้านบาท  เพิ่มขึ้น  1,789  ล้านบาท  หรือเพิ่มขึ้น  3.1%  แสดงให้เห็นว่า  CLMV  น่าจะเป็นตลาดที่ยังพึ่งพาได้  ซึ่ง  SME  ควรให้ความสำคัญกับตลาดนี้เพิ่มขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากตลาดหลัก
          สำหรับสินค้าส่งออกของ  SME  ไปตลาด  CLMV  ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภค  เช่น  น้ำตาล  เครื่องจักรกล  ผลิตภัณฑ์เหล็ก  ยานยนต์และชิ้นส่วน  เครื่องใช้ไฟฟ้า  และสินค้าอุปโภคบริโภค  สาเหตุที่สินค้ากลุ่มนี้ยังส่งออกได้ดี  เพราะประเทศ  CLMV  ยังคงลงทุนภายในประเทศอีกมาก  จึงจำเป็นต้องใช้สินค้าทุนในระยะนี้ค่อนข้างสูง  ขณะที่ภาคการผลิตภายในประเทศยังมีคุณภาพและปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ  จึงต้องนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเข้ามาชดเชย 
          นอกจากนี้  แนวโน้มการนำเข้าของ  CLMV  จะยังขยายตัวต่อเนื่อง  เพราะความจำเป็นของการใช้สินค้าทุนเพื่อการพัฒนาประเทศและตอบสนองการบริโภคในประเทศที่กำลังซื้อของผู้บริโภคกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว  จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของ  SME  ที่จะหันมาค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น  เพื่อลดผลกระทบจากตลาดหลักที่หดตัวในปัจจุบัน  และปูทางสำหรับการค้าขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต  โดย  SME  ที่จะได้ประโยชน์  คือ  SME  กลุ่มค้าชายแดน  ธุรกิจที่มีการค้าและความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้  และ  SME  ที่อยู่ในเครือข่ายของธุรกิจรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในประเทศ  CLMV  สินค้าที่น่าจะได้ประโยชน์  เช่น  กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์  วัสดุก่อสร้าง  สินค้าอุปโภคบริโภค  เป็นต้น 
          หากมองในระยะยาว  ผลประโยชน์จากการแสวงหาช่องทางส่งออกไป  CLMV  ทดแทนตลาดหลัก  มีความคุ้มค่า  เพราะเมื่อ  AEC  เปิดอย่างเต็มรูปแบบในปี  2558  การเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งทางถนนสาย  R1,  R2  และ  R3  ระหว่าง  CLMV  จีน  โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง  รวมถึงการพัฒนาท่าเรือทวายและการเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง  เชื่อว่าจะเกิดการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอีกมาก  เมื่อถึงวันนั้น  ตลาด  CLMV  อาจกลายเป็นตลาดหลักของ  SME  และผู้ส่งออกไทยแทนตลาดยุโรปที่อาจจะยังสลบไม่ฟื้นก็เป็นได้
ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น