วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำตาลขอนแก่นมั่นใจกำไรปีนี้ใกล้ปีก่อน 1,889 ล้านบาท หลังไตรมาส 2 ออกมาดี ส่วนปีหน้ายิ่งดีกว่าปีนี้


          นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทน้ำตาลขอนแก่น (KSL) เปิดเผยว่ามั่นใจว่าปีนี้ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมาย มีรายได้และกำไรไม่น้อยกว่าปีก่อน ภายหลังผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2555 (ก.พ. 2555-เม.ย. 2555) มีกำไรสุทธิ667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
          ทั้งนี้ ปีก่อนบริษัทมีกำไรสุทธิ1,889 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ1.21 บาท พุ่งขึ้น 1,090% จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิเพียง 158 ล้านบาท
          นายจำรูญ กล่าวว่า ปี 2555 บริษัทหีบอ้อยได้ 7 ล้านตันอ้อย และขายน้ำตาลล่วงหน้าไปแล้วกว่า90% ในราคากว่า 20 เซนต์ต่อปอนด์ จากปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 19 เซนต์ต่อปอนด์
          สำหรับผลการดำเนินงานในงวดปี 2555/2556 คาดว่าแนวโน้มกำไรจะมากขึ้นจากงวดปีนี้ เนื่องจากหีบอ้อยได้มากขึ้นเป็น 10 ล้านตันอ้อย จากการที่เดือน ธ.ค.นี้ จะมีการเปิดหีบผลผลิตจากโรงงานที่ จ.เลย ทำให้มีโรงงานหีบอ้อยเพิ่มขึ้นเป็น 5 โรงงาน ที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและกำไรเพิ่มขึ้น
          อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาน้ำตาลไม่สามารถคาดเดาได้ แต่หากราคาน้ำตาลลงราคาอ้อยก็จะลดลงตาม
          นายจำรูญ ชี้แจงกำไรไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นว่า เกิดจากปริมาณขายน้ำตาลเพิ่มขึ้น 51%โดยกำไรจากน้ำตาลคิดเป็นประมาณ 80% ของกำไรทั้งหมดที่เหลือ 20% มาจากการขายไฟฟ้าและเอทานอล
          นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส ลดประมาณการกำไรสุทธิของ KSL ปี 2555/2556 ลงอีก 15% จากการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำตาลทรายในปี2554/2555 เหลือที่ระดับ 21 เซนต์แต่คงสมมติฐานราคาในปี2554/2555 ที่ 27 เซนต์ เนื่องจากKSL ได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
          การปรับลดสมมติฐานครั้งนี้เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำตาลโลกที่จะเกินดุลต่อเนื่องเป็นปีที่3 โดยสถาบันวิจัยชั้นนำของโลก (ยูเอสดีเอ) ประเมินว่าผลผลิตน้ำตาลโลกในปี 2555/2556 จะสูงกว่าความต้องการใช้ทั่วโลกอีกถึง 10 ล้านตัน จากคาดการณ์ผลผลิตน้ำตาลทรายของบราซิลผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก ที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น บวกกับเกษตรกรอินเดียหันมาขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชมากขึ้น
          ดังนั้น คาดว่าทิศทางราคาน้ำตาลช่วงที่เหลือของปีนี้อาจทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องแต่ราคาหุ้นลดลงตามความกังวลมากจนเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายหุ้นละ 14.6 บาท m
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น